เดอะบีทเทิลส์คือวงดนตรีที่เปลี่ยนโฉมหน้าวงการดนตรี เป็นวงดนตรีที่ยิ่งใหญ่ตลอดกาล เป็นวงดนตรีที่มีเรื่องราวเล่าขานสืบต่อกันรุ่นแล้วรุ่นเล่า เป็นวงดนตรีที่ไม่เคยตาย
และเป็นวงที่ขุดอะไรขึ้นมาก็ขายได้ทุกครั้ง
ใครที่ไม่รู้จักเดอะบีทเทิลส์มาก่อน เห็นหน้าปกงานชุดนี้ครั้งแรกอาจคิดว่าเป็นงานประเภทสดุดีเสียอีก แต่อัลบั้มนี้เป็นผลงานของเดอะบีทเทิลส์เอง นี่คืออัลบั้มสุดท้ายของเดอะบีทเทิลส์ก่อนที่จะประกาศแยกทางกันไปตามแต่ละบุคคลจะเลือกเดิน
จำเป็นจะต้องเล่าเท้าความเพื่อให้เข้าใจความเป็นมาของอัลบั้มนี้เสียหน่อย
เล็ทอิทบี (Let It Be) เป็นสตูดิโออัลบั้มชุดสุดท้ายของเดอะบีทเทิลส์ แต่อัลบั้มนี้บันทึกเสียงตั้งแต่ต้นปี 1969 ก่อนที่จะทำอัลบั้มแอ็บบีโรด (Abbey Road) เสียอีก เล็ทอิทบีคือความพยายามรักษาสถานภาพของวงซึ่งณ ขณะนั้นถึงจุดห่างเหิน (โดยมีไวท์อัลบั้มเป็นพยาน) ความสัมพันธภาพระหว่างบุคคลกำลังถึงจุดวิกฤต โดยเฉพาะระหว่างพอล แม็คคาร์ทนีย์กับจอห์น เลนนอนเกิดความขัดแย้งทั้งเรื่องดนตรีและเรื่องส่วนตัว
ช่วงนั้นโยโกะ โอโนะกลายเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของจอห์น เลนนอน เธอช่วยให้จอห์นพัฒนาศักยภาพของตัวเองมากขึ้น ขณะเดียวกันก็สร้างรอยร้าวระหว่างจอห์นกับเพื่อนร่วมวงด้วยเช่นกัน
อัลบั้มเดอะบีทเทิลส์หรือที่รู้จักกันในนามไวท์อัลบั้ม แสดงความคิดและสัมพันธภาพส่วนบุคคลของสมาชิกแต่ละคนที่แตกต่างกัน จนอาจเรียกได้ว่าไวท์อัลบั้มคืองานเดี่ยวของแต่ละคนที่จับมาขายรวมกันโดยอาศัยชื่อเดอะบีทเทิลส์บังหน้า พอลคงเห็นจุดนี้ เขาจึงอยากทำอะไรเพื่อประคับประคองวงดนตรีอันดับหนึ่งของโลกให้มีลมหายใจสืบต่อไป โครงการ “กลับคืนสู่รากเหง้า – Get Back” จึงเกิดขึ้นโดยตั้งเป้าว่าจะกลับไปทำงานในบรรยากาศเดิม ๆ สมัยเริ่มแรกไม่ต้องปรุงแต่งอะไรมากมาย
แต่โครงการนี้ไม่สำเร็จ เพราะความขัดแย้งระหว่างพอลกับจอห์นมากเกินกว่าที่คิด ในขณะที่พอลคิดว่าตัวเองคือหัวหน้าวง จอห์นกลับไม่สนใจวง เพราะกำลังติดโยโกะมาก ไม่ว่าเขาไปไหนจะมีโยโกะเคียงข้างเสมอ และโยโกะก็แสดงความคิดเห็นของเธอต่อจอห์น จอห์นจะนำไปบอกเพื่อนให้เปลี่ยน ความจุ้นจ้านของโยโกะสร้างความรำคาญให้กับสมาชิกที่เหลืออย่างมาก จอร์จ แฮริสันถึงกับวางกีตาร์และเดินออกจากห้องซ้อมดนตรีไปเพราะเบื่อโยโกะและไม่อยากทนความจู้จี้อยากสมบูรณ์แบบของพอล อีกทั้งสมาชิกซ้อมดนตรีกันแบบขอไปที ไม่มีความเป็นมืออาชีพหลงเหลืออยู่เลย
ผลก็คือโครงการนี้โดนเก็บเอาไว้เพราะทั้งพอลและจอห์นฟังแล้วไม่พอใจกับผลลัพท์ที่ได้ จนหันไปทำอัลบั้มแอ็บบีโรดออกมาก่อน หลังจากนั้นฟิล สเป็คเตอร์ โปรดิวเซอร์มือทองผู้ที่วงการดนตรียกย่องว่าสร้าง “กำแพงเสียง” ให้กับดนตรีได้อย่างน่าทึ่งก็เข้ามาจัดการมิกซ์เสียงใหม่ รวมทั้งเสริมแต่งอะไรเข้าไปมากมาย จนสำเร็จออกมาเป็นอัลบั้มเล็ทอิทบีที่เราได้ยินกัน ว่ากันว่าจอห์นเป็นคนเลือกให้ฟิล สเป็คเตอร์เป็นคนจัดการในส่วนนี้ ซึ่งผลงานที่ออกมาไม่ค่อยเป็นที่น่าประทับใจพอลเจ้าของไอเดียและจอร์จ มาร์ตินโปรดิวเซอร์คู่บุญบารมีเท่าใดนัก
เวลาผ่านมาจนถึงปัจจุบัน เหลือสมาชิกเดอะบีทเทิลส์เพียง 2 คน ก็ได้เวลาที่เล็ทอิทบีต้นฉบับที่ไม่มีการปรุงแต่ง ออกมาดิบอย่างที่ตั้งใจไว้ในตอนแรกจะออกมาอย่างเป็นทางการ หลังจากปล่อยให้บูทเลคละเมิดมาหลายสิบปี
เล็ทอิทบี…เน็คด์ (Let It Be…Naked) เปลือยเปล่า – Naked ในความหมายนี้ก็คือการนำสิ่งปรุงแต่งออกไป เหลือแต่แก่นแท้ที่เดอะบีทเทิลส์ทำเอาไว้ไม่ผ่านการปรุงแต่งของฟิล สเป็คเตอร์ อย่างเช่น “เดอะลองแอนด์ไวน์ดิงโรด” ที่แฟนเพลงน่าจะรู้จักกันดี ที่ปรากฎในอัลบั้มนี้จะ ที่ไม่มีภาคออเครสตร้าเป็นต้น
“เดอะลองแอนด์ไวน์ดิงโรด” เวอร์ชั่นเลทอิทบี
“เดอะลองแอนด์ไวน์ดิงโรด” เวอร์ชั่นเลทอิทบี…เน็คด์
คนมีความสุขที่สุดคงจะเป็นพอล แม็คคาร์ทนี เพราะนอกจากได้เงินไปใช้เล่นแล้ว อัลบั้มนี้ยังเป็นงานที่ตั้งใจไว้แต่แรกว่าจะต้องกลับไปบรรยากาศเก่า ๆ สมัยเดอะบีทเทิลส์ทำงานอัลบั้มแรกได้เห็นสิ่งที่ตั้งใจไว้คงมีความสุข
ถ้าคุณรู้จักเดอะบีทเทิลส์ ก็คงจะรู้จักเพลงในงานเล็ทอิทบีดีอยู่แล้ว การตัดสินใจว่าจะซื้อหรือไม่ซื้ออยู่ที่ว่าคุณสนใจเพลงในอีกเวอร์ชันที่ต่างไปจากเดิมหรือเปล่า โดยส่วนตัวไม่ได้ฟังงานชุดนี้ในแง่ดนตรีเพียงอย่างเดียว หากแต่ที่กำลังฟังอยู่คือประวัติศาสตร์หน้าหนึ่งของวงเดอะบีทเทิลส์วงดนตรีอันดับหนึ่งของโลก ซึ่งมีเรื่องราวระหว่างบรรทัดให้สืบค้นและคิดต่อไปได้อีกมากมาย อัลบั้มเล็ทอิทบี…เน็คด์ มีคุณค่าในฐานะสิ่งเติมเต็มให้เห็นว่าจุดมุ่งหมายแรกของพอล แม็คคาร์ทนีย์ที่วางไว้สมัยทำโครงการ “กลับสู่รากเหง้า” เป็นอย่างไร ซึ่งนั่นเป็นคุณค่ามหาศาลไม่อาจประเมินค่าได้
Track Listing:-
- “Get Back” – 2:34
- “Dig a Pony” – 3:38
- “For You Blue” – 2:27
- “The Long and Winding Road” – 3:34
- “Two of Us” – 3:21
- “I’ve Got a Feeling” – 3:30
- “One After 909” – 2:44
- “Don’t Let Me Down” – 3:18
- “I Me Mine” – 2:21
- “Across the Universe” – 3:38
- “Let It Be” – 3:55