งานรวมเพลงของวงดนตรีอีกคณะที่กำลังตะกายหาทางเอาตัวรอดในวงการดนตรี แต่ดูเหมือนว่าไม่ค่อยน่าเป็นห่วงกันสักเท่าไหร่ คือถึงจะไม่กลับมาดังอย่างในอดีต ก็คงจะไม่ถูลู่ถูกังแบบดันทุรังไม่ยอมรับความเป็นจริงว่าเวลาของตัวเองผ่านไปแล้ว แถมสมาชิกยุคก่อตั้งและถือว่าเป็นยุค คลาสสิค ไลน์อัป ต่างก็อยู่พร้อมหน้าพร้อมตากันทั้งสี่คน เบร็ท ไมเคิล , ริกกี้ ร็อกเก็ต , ร็อบบี้ ดอลล์ และ ซีซี เดวิลล์ ถ้านับกันเฉพาะวงดนตรีในยุคแฮร์แบนด์แล้ว ณ เวลานี้พวกเขาถือว่ากำลังอยู่ในสถานภาพค่อนข้างดี ไม่น่าเป็นห่วงเท่าไหร่.
งานนี้ก็เหมือนที่ชื่อบอกละครับ เป็นงาน the best of…. ซึ่งมีแต่เพลงบัลลาดกับบลูส์ จากอัลบั้มสมัยที่ออกกับ Capital ซึ่งอันที่จริงแล้วภาพลักษณ์ของพวกเขาไม่ค่อยจะบลูส์กันซักเท่าไหร่ และยิ่งถ้าคิดในด้านการแสดงตัวตนของพวกเขา ก็รู้สึกว่านี่ไม่ใช่งานที่แสดงตัวตนอย่างแท้จริงของพวกเขาออกมา จริงอยู่ว่านี่มีแต่เพลงฮิตๆของเขาในยุคแรกๆ อย่าง “I Won’t Forget You” กับ “Every Rose has Its Thorne” ซึ่งถ้าใครเป็นแฟนเพลงของพวกเขาแล้วไม่รู้จักสองเพลงนี้ก็คงต้องพิจารณาตัวเองกันใหม่ได้แล้ว

แต่ว่า โดยลักษณะแท้จริงของ Poison เป็นวงดนตรีร็อกแอนด์โรลสนุกๆ คือถ้าเคยฟังงานแสดงสด Swallow This Live ที่ออกมาเมื่อประมาณ 10 กว่าปีที่แล้วจะเห็นว่าพวกเขาเป็น เอนเตอร์เทนเนอร์ที่ดี และเล่นดนตรีกันได้สนุก ไม่ใช่ว่าจะมีแต่เพลงหวานๆ แบบนี้แต่จุดหนึ่งที่ถือว่าดี ก็คือมันเป็นการแสดงความเติบโตทางด้านดนตรีของพวกเขาได้อย่างหนึ่งเหมือนกัน ถ้าคุณฟังแต่ละเพลงแล้วคิดไปถึงแต่ละยุคสมัย จะเห็นถึงการเติบโตทางด้านดนตรีของพวกเขาได้อย่างดีทีเดียว อย่างตอนที่งานชุด Look What The Cat Dragged In ประสบความสำเร็จใครๆ ก็คิดว่าฟลุ๊ค กันทั้งนั้น แต่มาถึง Open Up and Say Ahhh! นี่คงจะหายสงสัยกันแล้วว่า พวกเขามันมีฝีมือกันจริงๆ
ลองฟังเพลง “Life Goes On” จากอัลบั้มลำดับที่ 3 Flesh and Blood จะเห็นถึงความสามารถของซี ซี เดวิลล์ ในด้านการเล่นโซโล่ว่าไม่ได้ด้อยกว่าใครเลย คือไม่มีเทคนิคหวือหวา แต่ว่าได้จังหวะกำลังดี ซึ่งก็น่าเสียดายที่พอถึงช่วงนั้น เขาเกิดขัดแย้งกับเบร็ท ไมเคิลถึงขั้นชกต่อยกันหลังเวทีงานอะไรซักอย่างก็ไม่แน่ใจ อาจจะเป็น MTV music award มั้ง และคนที่เข้ามาแทนก็คือริชี่ คอทเซ็น ออกงานชุด Native Tongue ซึ่งถ้าพูดกันตรงๆแล้วแฟนเพลงดั้งเดิมค่อนข้างจะผิดหวังกับงานที่ดูซีเรียสผิดหูผิดตา ลองฟัง “Theatre of the Soul” กับ “Until You Suffer Some (Fire and Ice)” ก็จะเข้าใจ เพราะตัว คอทเซ็น มีจุดเด่นอยู่ที่การเล่นกีต้าร์ที่ผสมเอาดนตรีบลูส์,โซล และ Funk เข้ามาเล่นในแนวทางร็อกได้โดดเด่นคนหนึ่ง ก็เป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่ทำให้ดนตรีของ Poison มีทิศทางที่เปลี่ยนไป นอกจากนี้การที่ดนตรีในช่วงนั้นทุกลมหายใจเข้าออกเป็นกรั้นจ์ไปหมด ก็มีส่วนในการเปลี่ยนแปลงดนตรีของพวกเขาด้วยเหมือนกัน
คนมาเสียบแทนคอทเซ็นก็คือบลูส์ ซาราซีโน่ มือกีต้าร์ที่วัดรอยเท้าคอทเซ็นมาติดๆ แต่โชคไม่เข้าข้างเอาเสียเลย ทำให้ยังไม่มีโอกาสแจ้งเกิดกับ Poison เต็มตัว มีงานชุด Clack and Smiles ก็โดนดองเอาไว้นาน จนล่วงเข้าปี 1999 เดวิลล์ ก็กลับมาร่วมงานกับทางคณะอีกครั้ง
สรุปแล้วนี่เป็นงานรวมเพลงที่ยังไม่มีอะไรโดดเด่น คือจะฟังก็ได้ไม่ฟังก็ไม่ได้พลาดอะไรไป แต่ก็ยังยืนยันว่า งานนี้พลาดตรงที่นำเสนอบัลลาดกับบลูส์ซึ่งบดบังความสนุกสนานอันเป็นจุดเด่นของ Poison ไปอย่างน่าเสียดาย
Line Up:-
- Bret Michaels – lead vocals
- Bobby Dall – bass guitar
- Rikki Rockett – drums
- C. Deville – lead guitar
And
- Blues Saraceno – guitar on tracks 6, 8
- Richie Kotzen – guitar on tracks 7, 12, 13, 16
Track listing
- “Every Rose Has Its Thorn” – from the album Open Up and Say…Ahh!.
- “Something to Believe In” – from the album Flesh & Blood.
- “Life Goes On” – from the album Flesh & Blood.
- “I Won’t Forget You” – from the album Look What the Cat Dragged In.
- “Good Love” – from the album Open Up and Say…Ahh!.
- “Lay Your Body Down” – from the album Crack a Smile…and More!
- “Until You Suffer Some (Fire and Ice)” – from the album Native Tongue.
- “Be the One” – from the album Crack a Smile…and More!.
- “Life Loves a Tragedy” – from the album Flesh & Blood.
- “Only Time Will Tell” – from the album Swallow This Live.
- “Poor Boy Blues” – from the album Flesh & Blood.
- “Theatre of the Soul” – from the album Native Tongue.
- “Bastard Son of a Thousand Blues” – from the album Native Tongue.
- “The Last Song” – from the album Power to the People.
- “Something to Believe In” (Acoustic Version Featuring New Lyrics) part 2.
- “Stand” (Acoustic Version)