ต้นเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๕๑ อากาศวิปริตแปรปรวน
ตื่นมาพบบรรยากาศเย็นฉ่ำจากสายฝน มองออกไปนอกหน้าต่างก็เห็นเมฆฝนครึ้มดำ ถ้าเป็นเช้าที่ไม่ต้องออกไปทำงาน ก็คงจะเกิดปิติสุข พลิกซ้ายที ขวาที และอาจจะหลับใหลลงไปอีกครั้ง
ความวิตกแต่แรกวัน กังวลถึงการจราจรอันติดขัดหนักกว่าปกติ ความเปียกปอนทุลักทุเล
บางทีก็นึกอยู่เหมือนกันว่าทำไมจึงไม่สามารถออกไปทำงานด้วยจิตเปี่ยมสุขเหมือนวันที่ไม่ต้องออกไปทำงาน?
การหลอกตัวเอง บางทีมันอาจจะมีประโยชน์อยู่บ้างเหมือนกัน บางทีชีวิตจริงมันอาจจะไม่ได้สวยงามอะไรนัก แต่ถ้าเราใช้จินตนาการในตัวให้เป็นประโยชน์มันก็อาจจะช่วยให้อะไรหลายต่อหลายอย่างเป็นได้ด้วยดี
เอาอย่างง่าย เคยดูภาพยนตร์เรื่อง ไลฟ์อิสบิวติฟูล (Life is Beautiful) ภาพยนตร์ที่แสดงให้เห็นว่า ไม่ว่าในสถานการณ์ไหน ถ้าหากว่าเรายังมีอารมณ์ขันอยู่ก็อาจจะช่วยให้เราผ่านเหตุการณ์ร้ายไปได้ด้วยดี (หรือเปล่า)
คำว่า believe กับ make believe มันก็ไม่ได้ต่างกันมากนัก หากว่าเราจำเป็นต้อง make believe เพื่อที่จะสร้าง believe
เหมือนคนที่เป็นพ่อต้องสร้างเรื่องหลอกลวงลูก ก็เพื่อจะให้ลูกผ่านเหตุการณ์เลวร้ายไปได้ด้วยดี มันก็เป็นการเสแสร้ง แต่เป็นการเสแสร้งเพื่อความรู้สึกของคนที่ตัวเองรัก
ยังอดนึกไม่ได้ว่าหลายเรื่องที่พูดถึงความงดงามของชีวิต มักจะเป็นดรามาที่ขมชื่นอยู่ลึก ๆ เหมือนกับว่า อะไรก็งดงามได้ทั้งนั้นแม้ว่าจะมีความขมขื่นในชีวิต
เอ๊ะ หรือว่าแท้ที่จริงแล้ว ความขมขื่นคือความงาม
เอ๊ะ หรือว่า แท้ที่จริงแล้ว หากปราศจากความขมขื่น ก็จะไม่อาจบรรลุความงามของชีวิต?
นึกถึงเพลง “ว็อตอะวันเดอฟูลเวิร์ล” ของหลุยส์ อาร์มสตรอง
เพลงนี้เป็นเพลงที่เหมือนจะเรียบง่าย ท่วงทำนองฟังสบาย บรรยายถึงช่วงเวลาของคนคนหนึ่งที่มองโลกอย่างสุขนิยม
I see sky of blue
And cloud of white
The Bright blessed day
The dark sacred night
And I think to my self
What a wonderful world
คิดว่าเพลงนี้ไม่เลวเลย สำหรับการร้องให้ตัวเองฟังยามที่รู้สึกเหมือนกับว่าโลกไม่ค่อยจะน่าอภิรมย์ เพราะบางทีการร้องเพลงนี้ก็เหมือนการสะกดจิตตัวเองทางอ้อม ให้มองโลกในแง่งดงาม บางทีก็เหมือนกับการหลอกตัวเอง แต่ถ้ามองโลกในแง่ดีจากข้างในใจก็จะฉายความสุขออกมาภายนอก
เพลงนี้เหมือนกับเป็นการประชดยังไงพิกลอยู่ตอนที่ไปอยู่ในเรื่อง กู้ดมอร์นิงเวียดนาม(Good Morning Vietnam) ที่เหมือนว่า ถ้าหากโลกมีแต่สงคราม มีแต่ความขัดแย้ง แต่มันก็ยัง What a wonderful world!!
คิดว่ามันเป็นเรื่องแปลกอยู่เหมือนกัน ถ้าหากจะคิดว่าเพลงที่มีเนื้อหางดงามอย่าง “ว็อตอะวันเดอฟูลเวิร์ล” จะมีเนื้อหาไปในทางเสียดสีกลาย ๆ นี่ก็เป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้นึกถึงเพลง “ว็อตอะวันเดอฟูลเวิร์ล” มันกลายเป็นแบบนั้นก็น่าจะเป็นเพราะว่าครั้งหนึ่งมันใช้ประกอบภาพยนตร์เรื่อง กู้ดมอร์นิงเวียดนาม
เหมือนกับช่วงหนึ่งที่รู้สึกว่าจะฮิตกันเหลือเกินสำหรับคำว่า “positive thinking” ยอมรับว่าสมัยนั้นรู้สึกหมั่นไส้เหลือเกินกับคำนี้ อะไรมันจะมองโลกแง่บวกเสียปานนั้น เพราะว่าบางคนดูเหมือนว่าจะไม่ใช่แค่มองโลกแง่บวก แต่เป็นการมองโลกในแง่ฟุ้งซ่านเพ้อฝันเสียมากกว่า ไอ้นั่นก็สวย ไอ้นี่ก็งาม น้ำครำก็หอม มองโลกลอดแว่นสีชมพูหวานแหวว
เห็นแล้วรู้สึกว่า…แม่มมมม รำคาญเว้ย
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ทัศนคติในแง่บวกเป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างมากสำหรับการดำรงชีวิต อย่างเช่น กุยโดที่พยายามจะรักษาครอบครัวของเขาให้รอดพ้นจากเงื้อมมือนาซีให้ได้
ซึ่งเรื่องแบบนี้ต้องอาศัยความอดทนและแรงใจอันตั้งมั่นแรงกล้า
Life is Beautiful
การมีชีวิตอยู่เป็นเรื่องสวยงาม
La Vita è bella หรือชื่อภาษาอังกฤษว่า Life is Beautiful (1997) นำแสดงโดย โรเบิโต เบนิกนี (Roberto Benigni) รับบทเป็นกุยโด คนมองโลกแบบสุขนิยม งดงาม มีภรรยาแสนสวยที่เขาเรียกว่าเจ้าหญิง มีลูกชายชื่อ โจชัว
เหตุการณ์เกิดขึ้นในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง และกุยโด้ต้องรับผลกระทบจากกองทัพนาซีเพราะว่าเขามีเชื้อสายยิว
และเขาก็ต้องโกหกลูกชายว่า สิ่งที่เกิดขึ้นเป็นเกมส์ สนุกๆ เกมส์หนึ่ง
แต่ว่าเกมส์สงครามไม่เคยมีผู้ชนะ
มีแต่คนแพ้
มีแต่ความสูญเสีย