เพลงเด่นเพลงหนึ่งขอราโมนส์ ไม่ได้เด่นเพราะความเฉียบคมหรือว่าพลิกฟ้าคว่ำแผ่นดินสร้างพลังปฏิวัติอะไร แต่เด่นเพราะเบื้องหลังที่มาของเพลง
เนื้อเพลง
She went away for the holidays Said she's going to L.A But she never got there She never got there She never got there, they say She went away for the holidays Said she's going to L.A But she never got there She never got there She never got there, they say
เธอบอกว่าเธอจะไปพักผ่อนที่ลอสแอนเจลิส แต่เธอก็ไม่ได้ไป
The KKK took my baby away They took her away Away from me The KKK took my baby away They took her away Away from me
กลุ่มเคเคเคมันเอาตัวแฟนฉันไป…
Now I don't know Where my baby has been They took her from me They took her from me I don't know Where my baby has been They took her from me They took her from me Ring me, ring me, ring me Up the President And find out Where my baby went Ring me, ring me, ring me Up the FBI And find out if my baby's alive Yeah, yeah, yeah Oh oh oh oh oh oh
ฉันไม่รู้ว่าพวกมันลักพาตัวแฟนฉันไปไหน ฟ้องประธานาธิบดี ฟ้องเอฟบีไอ ช่วยตามหาทีว่าแฟนฉันยังมีชีวิตอยู่หรือเปล่า
เนื้อหามีเท่านี้เองสาธุชน
เพลง “เคเคเคทูกมายเบบีอะเวย์” เขียนโดย โจอี ราโมน นักร้องนำเดอะราโมนส์ จากอัลบั้มเพสเซสต์ดรีมส์ เมื่อปีค.ศ. 1981
ก็อย่างที่บอกว่าความเด่นเพลงนี้อยู่ที่แรงบันดาลใจที่ทำให้โจอีเขียนเพลงนี้เพื่อด่าจอห์นนี ราโมน มือกีตาร์เพื่อนร่วมวงเดอะราโมนส์ที่แย่งลินดา แดเนียลแฟนสาวของเขาไป
เคเคเค หรือกลุ่ม คูคลักซ์แคน (Ku Klux Klan) เป็นกลุ่มชนผิวขาวเหยียดผิวหัวรุนแรง ตั้งแต่สมัยหลังสมครามกลางเมืองที่ฝ่ายใต้ (ซึ่งอยากให้มีทาสผิวดำ) เป็นฝ่ายพ่ายแพ้ แต่สงครามแพ้คนไม่แพ้ ยังมีคนผิวขาวที่ใช้เวลาส่วนตัวซ่องสุมกำลังระรานกลุ่มคนผิวดำต่อเนื่อง ทั้งรังควาน เผาบ้าน หนักถึงขึ้นฆาตกรรม
กลุ่มเคเคเคคือกลุ่มคนผิวขาวอนุรักษ์นิยมสุดโต่งที่คิดว่าคนผิวขาวคือพระเจ้า และคนผิวสีอื่นคือสัตว์วรรณะต่ำจะเหยียบย่ำบีฑาอย่างไรก็ได้
แล้วก็บังเอิญว่าจอห์นนีเป็นพวกอนุรักษ์นิยมพอดี (ส่วนโจอีเป็นเสรีนิยม) โจอีเลยเทียบว่าไอ้พวกเคเคเค
อันนี้ก็เป็นเรื่องเล่า เอาความบันเทิงเป็นหลัก
ความจริงอาจเป็นอีกเรื่องหนึ่ง
มิกกี ลีห์ น้องชายของโจอีเล่าในหนังสือ ไอสเลปวิธโจอี ราโมน: อะแฟมิลีเมมัวร์ อีกอย่างว่า ความจริงโจอีเขียนเพลงนี้ไว้นานพอสมควรก่อนเกิดเรื่องที่ลินดาหันไปคบกับจอห์นนีแล้ว ตั้งแต่สมัยเขาคบหาอยู่กับผู้หญิงผิวดำคนหนึ่งชื่อวิลนาก่อนที่จะร่วมวงราโมนส์เสียอีก แต่ต้องเลิกคบกันเพราะว่าครอบครัวไม่เห็นด้วยเนื่องจากสีผิวที่แตกต่างกัน เขาเลยเขียนว่า “เคเคเคเอาตัวผู้หญิงของฉันไป” แล้วทิ้งไว้ไม่ได้เอามาทำจริงจัง จนเพิ่งมาทำเพลงเสร็จตอนที่ลินดาหันไปคบกับจอห์นนี
ขอถอดความย่อหน้าหนึ่งจากหนังสือของมิกกีดังนี้
โจอีโทรศัพท์หาผมจากปราสาทผีสิงในอังกฤษ ที่ (โปรดิวเซอร์ แกรห์ม) กูล์ดแมนใช้เป็นหนึ่งในห้องบันทึกเสียง เสียงเขาดูดีแต่ออกจะเหงา ตอนนั้นเขากำลังบันทึกเสียงเพลง “เคเคเคทูกมายเบบีอะเวย์” ซึ่งโจอีเขียนเอาไว้นานแล้วก่อนที่ผมจะบอกเขาว่ามีอะไรเกิดขึ้น (มิกกีหมายถึงเรื่องลินดากับจอห์นนี) ผมอยู่ที่อพาร์ทเมนต์ของเขาตอนที่เขากำลังทำเพลงนี้อยู่ก่อนจะคบลินดาเสียอีก มันเป็นเรื่องบังเอิญที่เชื่อมโยงจอห์นนีกับเคเคเคได้พอดีทำให้แฟนเพลงคิดไปถึงว่ามันหมายถึงจอห์นนี สำหรับเขาแล้วมันเป็นจังหวะเวลาที่น่าไม่ปกติเอาเสียเลยที่จะทำเพลงนั้นต่อให้เสร็จ แล้วพอเขาทำ เนื้อเพลงเลยมีความหมายใหม่เกิดขึ้นมา
มิกกี
ถ้าวิเคราะห์จากที่มิกกีเขียน ก็อดคิดไม่ได้ว่าโจอีหมายถึงจอห์นนีอยู่ดีตอนที่ร้องเพลงนี้
จากหนังสือของมิกกี บรรยายว่าโจอีจริงจังกับลินดามากขนาดว่าซื้อแหวนเพชรมูลค่า 3,000 ดอลลาร์ให้ลินดาในช่วงปีค.ศ. 1980 ทั้งที่เขามีทั้งเนื้อทั้งตัวแค่ 5,000 ดอลลาร์ แต่จอห์นนีกับลินดา แอบคบกันตั้งแต่ปีค.ศ. 1980
นิตยสารสปิน ฉบับพฤศจิกายน ค.ศ. 2004 ลงเรื่องจอห์นนี ซึ่งมีบทสัมภาษณ์ว่า “ลินดากับผมพยายามเลี่ยงสถานการณ์แบบนั้นร่วมสองปี แต่มันไม่มีทางออกอื่น ผมไม่อยากทำให้อนาคตกับเธอเลวร้าย แน่ล่ะ ผมกังวลเกี่ยวกับวง แต่ผมไม่อยากเสี่ยงสูญเสียผู้หญิงคนที่ใช่ไป ผมไม่กล้าอวดเธอ และเธอก็ไม่มาดูการแสดงตั้งแต่นั้น”
ในฉบับเดียวกันจอห์นนียังบอกว่าความจริงสัมพันธ์ระหว่างเขากับโจอีเริ่มแย่มาตั้งแต่ทอมมี ราโมนออกจากวงและเริ่มทำอัลบั้ม เอนด์ออฟเดอะเซนจูรี ปีค.ศ. 1980 แล้ว เพียงแต่เรื่องลินดาเหมือนเป็นจุดที่เห็นความบาดหมางได้ชัดเจนที่สุด จอห์นนี กับ โจอี แทบไม่ได้พูดคุยกันเลยหลังจากนั้น แม้ว่าจะทำวงดนตรีร่วมกัน “จากจุดนั้น ผมไม่ชอบโจอี้ และเขาก็ไม่ชอบผม ผมไม่คุยกับเขาแล้วไม่สนใจอะไรทั้งนั้น” จอห์นนีเล่าภายหลัง แต่ทั้งคู่ก็ยังร่วมงานกันในนามราโมนจนกระทั่งยุบวงในปีค.ศ. 1996
และถึงวันที่โจอีใช้ชีวิตช่วงสุดท้ายในโรงพยาบาลเพื่อรักษาโรคมะเร็งเมื่อปีค.ศ. 2001 จอห์นนีก็ไม่ยอมแม้แต่จะโทรศัพท์พูดคุยกับเพื่อนเก่า ไม่ยอมไปร่วมงานศพ และให้สัมภาษณ์ว่า “ผมอยู่แคลิฟอร์เนีย ผมไม่เดินทางยาวไกลมาถึงนิวยอร์กหรอก แต่ผมก็ไม่อยากไปอยู่แล้ว ผมไม่อยากให้เขามางานศพผม และผมก็ไม่อยากได้ยินเขาพูดอะไรแม้ตอนที่ผมตายไปแล้ว ผมอยากเห็นหน้าเพื่อนมากกว่า ให้ผมตายแล้วก็ปล่อยให้ผมอยู่คนเดียวเถอะ” จอห์นนี เสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งในปีค.ศ. 2004 ตามหลังโจอีเพียงแค่ 3 ปี
แต่ในสารคดี เอนด์ออฟเดอะเซนจูรี เขาบอกว่าเขาเสียใจที่เป็นแบบนั้น
One thought on “Ramones: The KKK Took My Baby Away”