Ozzy Osbourne: Blizzard Of Ozz

Ozzy Osbourne: Blizzard Of Ozz

Files in

| เผยแพร่ครั้งแรก:

| ปรับปรุงล่าสุด:

Blizzard of Ozz เป็นผลงานแรกของ Ozzy Osbourne วางจำหน่ายเมื่อวันที่ 12 กันยายน ค.ศ. 1980 เป็นหนึ่งอัลบั้มสุดแสนจะคลาสสิกในวงการฮาร์ดร็อกและเฮฟวีเมทัล และกว่าจะได้อัลบั้มแรกไม่ใช่เรื่องง่าย หรือจะว่าไป ไม่เคยมีอะไรเป็นเรื่องง่ายสำหรับ Ozzy Osbourne

Goodbye to Romance

Ozzy Osbourn เป็นนักร้องนำของวง Black Sabbath ซึ่งรุ่งเรืองและเป็นหัวหอกดนตรีหนักกะโหลกจากเกาะอังกฤษในทศวรรษ 70 แต่ในช่วงปลายทศวรรษ 70 ความสัมพันธ์ของเขากับสมาชิกที่เหลือไม่สู้ดีนัก ช่วงทำอัลบั้ม Technical Ecstasy (1976) เป็นช่วงที่เขาเริ่มรู้ตัว่าหมดใจกับ Black Sabbath อีกทั้งมีปัญหาเรื่องติดเหล้าติดยา

เมื่อเตรียมตัวทำอัลบั้มถัดมา เขาก็ลาออกจากวง และ Black Sabbath ตัดสินใจรับ Dave Walker เข้ามาร่วมวง และยังออกแสดงสดโดยมี Dave เป็นนักร้องนำอย่างเป็นทางการ แต่ Don Arden ผู้จัดการวงและเจ้าของบริษัท Jet Records เล็งเห็นว่า Black Sabbath ที่ปราศจาก Ozzy ไม่น่าจะไปรอด เขาจึงเจรจาประสานรอยร้าวจนกระทั่ง Ozzy กลับมาร่วมวงอีกครั้งและออกอัลบั้ม Never Say Die! (1978) 

แต่สถานการณ์ก็ไม่ดีขึ้น 27 เมษายน ค.ศ. 1979 Bill Ward รับหน้าที่เป็นตัวแทนสมาชิกวงBlack Sabbath แจ้งข่าวต่อ Ozzy Osbourne ว่าสมาชิกทั้งสามคน Geezer Butler, Tony Iommi และตัวเขาเอง ลงมติว่าให้ Ozzy พ้นจากวง Black abbath อย่างเป็นทางการ ด้วยเหตุผลว่ากินเหล้าเมายาจนไม่สนใจทำงาน ระหว่างทำอัลบั้มกันอยู่ Ozzy ก็ไม่สนใจจะทำอะไรทั้งสิ้น ไม่ยอมซ้อมดนตรี และไม่คิดจะร้องเพลงด้วยซ้ำ

Tony Iommi บอกว่า เขาจำเป็นต้องตัดสินใจ เพราะถ้า Ozzy ไม่ออกจากวงไป ก็คงเป็นจุดจบของ Black Sabbath แน่นอน

ถึงแม้ว่า Don Arden จะพยายามอย่างหนักที่จะดึง Ozzy ให้อยู่กับวง เพราะเขามองว่า สมาชิกยุคนี้ ถึงแม้ว่าจะหมดความคิดสร้างสรรค์ก็ยังทำเงินได้! แต่ในเวลานั้นความแตกแยกของทั้งสองฝ่ายเดินมาถึงขีดสุด ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่มีทางทำงานด้วยกันอีก

Don จึงส่ง Ozzy ไปลอสแอนเจลิส ออกค่าใช้จ่ายให้พักที่โรงแรม Le Parc ในเวสต์ฮอลลีวู้ด พร้อมกับตั้งเป้าหมายให้ Ozzy ทำวงดนตรีใหม่ คิดชื่อให้เสร็จสรรพว่า ​Son of Sabbath แต่ Ozzyไม่สนใจทำงานอะไรทั้งสิ้น เขาเก็บตัวเงียบในโรงแรมไม่ออกไปไหนเป็นเดือน มีคนส่งยามาส่งให้ถึงที่ ชีวิตมีแต่พิซซากับเบียร์ (และยาเสพติด) ความสัมพันธ์กับภรรยาในขณะนั้นคือ Thelma และลูก ทั้งสองคน  Jessica Starchild (ชอบชื่อนี้จริง ๆ)  และ Louis ก็มีปัญหากับเขาขนาดหนัก ในขณะที่เขามาอยู่ที่ลอสแอนเจลิส สหรัฐอเมริกา แต่ครอบครัวของเขาตัดสินใจปักหลักอยู่ในอังกฤษต่อ

ในหนังสือ I Am Ozzy เขาโทษว่าการให้เวลากับ Black Sabbath ทำให้ชีวิตครอบครัวของสมาชิกแต่ละคน ทั้ง Geezer, Tony, และ Bill พังทลายเพราะทุกคนทุ่มเทให้กับวงที่ต้องใช้เวลาทำเพลง เขียนเพลง บันทึกเสียง ออกทัวร์คอนเสิร์ต ฯลฯ คนอ่านก็ได้แต่รำพึงในใจว่า ทำตัวเองแท้ ๆ

“ตอนนั้น ผมคิดจริง ๆ ว่านี่คือจุดจบของผม” Ozzy ให้สัมภาษณ์นิตยสาร Classic Rock หลังผ่านเหตุการณ์นั้นมาหลายทศวรรษ “ผมหมดสิ้นทุกอย่าง ใช้ชีวิตดำดิ่งเป็นเวลาสามเดือน ไม่เคยออกไปข้างนอก ไม่เคยแม้แต่จะเปิดผ้าม่าน” 

จนกระทั่งวันหนึ่ง Sharon Arden บุตรสาวของ Don Arden ก็เดินทางมาหา Ozzy ถึงห้องเพื่อจัดการให้เขาทำงานได้ตามคำสั่งของ Don Arden ซึ่งในเวลานั้น Ozzy ใช้เงินที่ได้จากการทำงานในวง Black Sabbath ไปหมดสิ้นแล้ว เงินติดตัวเขาในขณะนั้นมีไม่กี่ดอลลาร์เท่านั้น

“เช้าวันหนึ่ง Sharon ก็เดินเข้ามา แล้วบอกผมว่า เก็บของได้แล้ว ฉันมาเป็นผู้จัดการคุณ และเมื่อเธอเข้ามาทุกอย่างก็เริ่มเดินหน้า Sharon ควรได้รับเครดิตเมื่อพูดถึงการทำอัลบั้มนั้น”

ส่วน Sharon บอกว่า  “เขาดูแย่มาก ไม่ได้โกนหนวดโกนเครามาหลายสัปดาห์ เสื้อผ้ามีแต่คราบอาหารและกลิ่นตัวแย่ที่สุด ฉันรู้สึกใจสลายที่ต้องเห็นใครสักคนอยู่ในสภาวะสิ้นหวังขนาดนั้น”

On Aboard!

ในที่สุด Ozzyก็ตัดสินใจทำวงใหม่ โดยเขาสรรหานักดนตรีทั่วลอสแอนเจลิส มีนักดนตรีท้องถิ่นมากมายที่ได้โอกาสมาเล่นให้ Ozzy ดู อย่างเช่น George Lynch มือกีตาร์ Dokken และ Dana Strum มือเบส Slaughter สมัยนั้นอยู่วง Bad-Axe มีทีมงานไปเห็นวงนี้เล่นเพลงของ Black Sabbath ที่คลับ Starwood ก็เลยชวนมาลองทดสอบฝีมือดู

“มันไม่เหมือนสมัยนี้หรอก ที่ทุกคนจะคารวะผลงานของ Black Sabbath” Dana ให้ความเห็น “ในสมัยนั้น มีทั้งคนรักและคนเกลียด ผมเป็นแฟนเพลงของพวกเขา ก็เลยตื่นเต้นที่จะได้พบกับ Ozzy พวกเขาใช้ห้องซ้อมดนตรีของ Frank Zappa ที่ย่านซันเซต Gary Moore ก็อยู่ที่นั่นด้วย ผมไม่รู้ว่าทำไมเขาถึงอยู่ที่นั่น ผมก็เลยคุยกับ Ozzy ว่า คนนั้น (หมายถึง Gary) ไม่เหมาะกับคุณหรอก ผมเป็นแฟน Black Sabbath และผมคิดว่าเขาเป็นพวกออกบลูส์มากกว่า ซึ่งไม่มีอะไรในแบบที่ Ozzy ทำเลย”

ในตอนนั้น Dana อายุเพิ่ง 20 และไม่รู้จักใครเป็นใคร

ความจริง Gary อยู่ที่นั่นเพื่อช่วย Ozzy สรรหาผู้ร่วมวง เพราะเขาปฏิเสธการเป็นมือกีตาร์ของ Ozzy ไปตั้งแต่แรก

เวลานั้น (ค.ศ. 1979) Gary เพิ่งออกจากวง Thin Lizzy (เป็นครั้งที่ 3 และครั้งสุดท้าย) เขาย้ายมาอยู่ลอสแอนเจลิสและเซ็นสัญญากับ Jet Records (บริษัทเดียวกับ Ozzy) ทำวง G-Force ร่วมกับ Glenn Huges (อดีตมือเบสและร้องนำ Deep Purple แต่โปรเจ็กต์นั้นต้องล่มสลายเพราะการติดเหล้าของ Glenn)

เมื่อ David Arden (ลูกชายของ Don) แนะนำ Gary ให้กับ Ozzy นั้น เล่ากันว่า นี่ Gary เป็นมือกีตาร์ที่อยู่ในใจ Ozzy อยู่แล้วและออกปากชวน Gary ด้วยตัวเอง แต่ในเวลานั้น Gary กำลังเบื่อหน่ายพฤติกรรมติดเหล้าเมายาของอดีตผู้ร่วมวง จึงปฏิเสธไปอย่างสุภาพ แม้ว่าจะได้รับการสนับสนุนจาก Don Arden และทั้งคู่เข้ากันได้ดี โดยเขาบอกว่าจะช่วยดูคนที่มาทดสอบฝีมือให้ก็แล้วกัน

“Ozzy หัวเสียน่าดูตอนที่ผมบอกว่าไม่สนใจร่วมวงของเขา ตอนที่ผมอยู่ลอสแอนเจลิส วง G-Force ช่วยเขาทดสอบฝีมือนักดนตรี ถ้ามือกลองมาทดสอบฝีมือ ผมจะเล่นกีตาร์ ถ้ามือเบสมาทดสอบ มือกลองของผม (Mark Nauseef) จะมาช่วยตีกลอง เรารู้สึกเสียใจกับเขาเหมือนกัน เขามักจะมาวนเวียนชักชวนให้ผมเข้าร่วมวง แต่ผมไม่คิดจะไปร่วมงานกับเขาเลย” Gary Moore บอก

อาจจะเป็นเพราะ Dana กล้าที่จะแสดงความเห็นตรงไปตรงมา Ozzy ให้ Dana อยู่ต่อ แม้จะไม่เอา Dana เล่นในวง โดยเขาให้ Dana ช่วยหานักดนตรีท้องถิ่นหลายคนมาทดสอบฝีมือ และหนึ่งในคนที่ Dana ติดต่อก็คือ Randy Rhoads 

Randy Rhoads

Dana เล่าว่า เขาโทรศัพท์ไปหา Randy แล้วบอกว่า “จำได้มั้ยว่าจะมีอะไรสักอย่างมันใช่สำหรับคุณ คุณรู้จักวง Black Sabbath มั้ย” แต่ก่อนที่ Dana จะพูดต่อ Randy ก็สวนกลับมาว่า “แน่นอน ผมรู้จัก ผมไม่ชอบพวกเขาเลย” ทำให้ Dana ถึงกับอึ้งเพราะไม่คิดว่า Randy จะไม่ชอบวงโปรดของเขา (และ Randy ไม่รู้ว่านักร้องนำ Black Sabbath ชื่ออะไรด้วยซ้ำ)

แต่ในที่สุด Randy ก็ยอมมาทดสอบฝีมือกับ Ozzy โดยขอค่าน้ำมันสัก 10 – 15 ดอลลาร์

เรื่อง Randy ไม่ชอบ Black Sabbath นี้ได้รับคำยืนยันโดย Kelly Garni เพื่อนสนิทและเพื่อนร่วมวง Quiet Riot บอกว่า ทั้งเขาและ Randy ไม่ค่อยชอบ Black Sabbath เท่าไหร่ รู้สึกเหมือนพวกวงตัวตลกมากกว่า

กันยายน ค.ศ. 1979 Randy Rhoads ได้พบ Ozzy ครั้งแรก วันทดสอบฝีมือ Randy ไม่ได้เจอหน้า Ozzy ด้วยซ้ำ เพราะตอนนั้นเขาเมาไม่ได้สติ นอนบนโต๊ะในสตูดิโอ Dana ต้องหาน้ำมาราดหรือมาเช็ดหน้าให้เขามีสติ และ Dana ซึ่งไม่รู้ว่าจะเอาอย่างไรดี ก็เลยขอให้ Randy เล่นโซโลอย่างที่เล่นในคลับ Starwood และลาก Ozzy ให้เข้ามาที่ห้องควบคุมเสียงเพื่อฟัง Randy เล่นกีตาร์

และการเล่นของ Randy คงมหัศจรรย์จริง เพราะขนาด Ozzy มีสติเหลือเพียงน้อยนิด ได้ยิน Randy เล่นเพียงเล็กน้อย ก็บอกกับ Dana ว่า “ไปบอกเด็กคนนั้นว่าเขาได้งาน แล้วก็พาผมกลับบ้านที” 

จากปากคำของ Dana สรุปได้ว่า Randy เล่นกีตาร์ไม่ถึงนาที Ozzy ก็เลือกให้เขาเป็นมือกีตาร์ โดยที่ Randy ไม่ได้เจอหน้า Ozzy เลยด้วยซ้ำ

วันถัดมา Randy ไปหา Ozzy ที่โรงแรม และเขาทำให้ Ozzy ประหลาดใจที่ดื่มเพียงไดเอ็ตโค้ก ไม่แตะต้องของมึนเมาแม้แต่น้อย และเนื่องจากการแต่งตัวแบบแกลมร็อก ทำให้ Ozzy ตั้งคำถามว่า เขาเป็นเกย์หรือเปล่า? และให้มาซ้อมดนตรีกันในอีกสองหรือสามวันถัดมา ที่ Pasha Music Studios คนที่มาซ้อมดนตรีในวันนั้นก็คือ Ozzy ร้องนำ Randy เล่นกีตาร์ Dana เล่นเบส และ Randy ขอให้ Frankie Banali มาช่วยตีกลอง

วันรุ่งขึ้น Ozzy ก็เดินทางกลับสหราชอาณาจักร ตามคำสั่งของ Don Arden ซึ่งรู้สึกว่าการให้ Ozzy อยู่ลอสแอนเจลิสต่อเปลืองเงินมากเกินไปโดยไม่มีอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน และเขาวางแผนให้ Ozzy ทำวงดนตรีไว้ที่อังกฤษแล้ว

David Arden สรรหานักดนตรีหลายต่อหลายคน เพื่อให้มาร่วมงานกับ Ozzy หนึ่งในนั้นคือBob Daisley มือเบสจาก Rainbow ผู้มีประสบการณ์ยาวนานไม่แพ้ Ozzy เขาเคยอยู่กับวง Chicken Shack ก่อนจะมาตั้งวง Widowmaker (ร่วมกับ Ariel Bender มือกีตาร์จาก Mott The Hoople) แต่ที่ทำให้เขามีชื่อเสียงก็เมื่อเป็นมือเบสให้กับ Rainbow

Bob เล่าว่า “พวกเขา (หมายถึงบริษัท Jet Records) ต้องการให้วงนี้เป็นวงอังกฤษ และพยายามหามือกีตาร์มาเล่นกับ Ozzy แต่ไม่มีใครถูกใจเขาสักคน แล้ว Ozzy ก็บอกผมว่า มีมือกีตาร์คนหนึ่งที่เขาเจอที่ลอสแอนเจลิส เป็นครูด้วย ผมได้ฟังก็ไม่รู้สึกว่าน่าสนใจตรงไหน แต่ Ozzy บอกว่าคนนี้เป็นมือกีตาร์ฝีมือฉกาจมาก ผมก็เลยบอกว่า งั้นก็พาเขามาลองเล่นกันหน่อย David Arden ไม่อยากทำแบบนั้นหรอก แต่สุดท้ายเขาก็ยอม เขาบอกว่า -นี่มันตรงข้ามกับสิ่งดี ๆ ที่ผมเสนอเลยนะ แต่ ก็ได้ ผมยอมพาเด็กที่ไหนก็ไม่รู้จากแอลเอบินมาที่นี่”

ตอนที่ Randy ได้รับข้อเสนอให้บินไปอังกฤษ เขาเกือบปฏิเสธ แต่ Delores มารดาของเขาสนับสนุนให้เขาเดินทางมาเพราะเธอรู้ว่านี่เป็นโอกาสที่ดีสำหรับ Randy

และเมื่อ Bob พบกับ Randy ครั้งแรก ก็ถามแบบเดียวกับ Ozzy ว่า “เขาเป็นเกย์หรือเปล่า?”

ทั้งสามคนซุ่มซ้อมดนตรีและร่วมกันเขียนเพลงที่มอนเมาท์ แคว้นเวลส์ Bob เล่าความหลังว่าริฟฟ์หลักจะมาจาก Randy แล้วเขากับ Randy จะช่วยกันทำให้เป็นเพลง โดยที่ Ozzyจะเป็นคนทำใส่ทำนองเสียงร้อง หรือบางครั้งเขาจะคิดวลีหรือชื่อเพลงออกมา เช่น Wine is fine but whisky’s quicker จากเพลง “Suicide Solution” ก็เป็นประโยคที่ Ozzy คิดโดยได้แรงบันดาลใจจากบทกวี Reflections on Ice Breaking ของ Ogden Nash กวีอเมริกันเมื่อปีค.ศ. 1931 ซึ่งมีท่อนหนึ่งประพันธ์ไว้ว่า Candy is dandy but liquor is quicker 

Ozzy เคยให้สัมภาษณ์ว่าเป็นเพลงเกี่ยวกับการเสียชีวิตของ Bon Scott ซึ่งมีสาเหตุจากการดื่มเกินขนาดในเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 1980 ก่อนบันทึกเสียงประมาณ 1 เดือน แต่ Bob บอกว่าเพลงนั้นเขาเป็นเขียนจนจบ และมันเกี่ยวกับตัว Ozzy ล้วน ๆ ไม่เกี่ยวกับใครอื่นเพราะช่วงนั้น Ozzy ดื่มจัดมาก บางทีเขาดื่มแต่เช้างแล้วเมาหลับไปตลอดบ่าย

“Ozzy ไม่ใช่นักแต่งเนื้อเพลง แต่ว่าพวกชื่อเพลงมาจากเขาหลายเพลง อย่างชื่ออัลบั้มBlizzard Of Ozz ก็มาจากเขา”

สำหรับ Ozzy เขาคิดว่านี่เป็นครั้งแรกที่เขามีส่วนร่วมในการทำเพลงมากกว่าที่เคยเป็นมา “สมัยอยู่ Sabbath พวกเขาจะเขียนเพลงกันแล้วก็บอกผมว่า ไปร้องเพลงนี้ ซึ่งผมก็ร้องได้ในสตูดิโอ แต่ถ้าจะให้ร้องบนเวที…อย่างเพลง Sabbath Bloody Sabbath นี่ผมทำไม่ได้ Randy เป็นคนแรกในอาชีพของผมที่ทำให้มันง่ายสำหรับผม เวลาที่ผมมีท่วงทำนองในหัว เช่น Goodbye to Romance เพลงบัลลาดที่เหมือนสัตว์ป่าถูกจับขังกรงและกำลังหาทางออก ผมร้องให้เขาฟัง แล้วเขาจะบอกว่า เราลองเอามันมาใส่คีย์นี้มั้ย เขาเป็นคนที่ช่วยผมอย่างดีมาก” 

Ozzy and Bob
Ozzy Osbourne และ Bob Daisley

ระหว่างการทำงาน จะมีเพื่อนของ Ozzy คนหนึ่งช่วยตีกลองให้ บทเพลงแรกที่เขียนเสร็จก็คือ “Goodbye to Romance” ซึ่งเป็นการบอกลาเพื่อนเก่าในวง Black Sabbath ตามมาด้วยเพลงในอัลบั้มแรกอีกหลายเพลง เมื่อได้เพลงตามที่ตั้งใจก็มาทำเดโมเทปที่เมืองเบอมิงแฮมบ้านเกิดของ Ozzy โดยมี Dixie Lee มือกลองวง Lone Star มาตีกลองให้

ตอนแรก Ozzy อยากได้ Tommy Aldridge มาเป็นมือกลองของวง แต่เจ้าตัวปฏิเสธเพราะเล่นอยู่กับวง Pat Traver Band ไม่ว่างมาร่วมงานด้วย David Arden เป็นคนเสนอให้ติดต่อ Lee Kerslake อดีตมือกลอง Uriah Heep ให้ลองมาทดสอบฝีมือกับ Ozzy 

“ผมแค่นับ 1 2 3 ตีกลอง แล้ว Randy Rhoads ก็กระโดดดีใจ ตะโกนว่า เราได้แล้ว” Lee คุยโม้โอ้อวดถึงวันที่เขามาทดสอบฝีมือ ณ Shepperton Studios ในมิดเดิลเซ็กซ์ ไว้อย่างนั้น ซึ่งเรื่องนี้ Bob ก็เห็นด้วย เขาบอกว่า สัมผัสได้เลยว่าทั้งหมดเล่นเข้าขากันมาก

ตรงกันข้ามกับ Sharon ซึ่งในเวลานั้นยังอยู่ลอสแอนเจลิส แต่เมื่อเธอได้เห็นทั้งสี่คนซ้อมดนตรีกันครั้งแรก เธอก็บอกว่า “ตอนที่เห็นวงเล่นด้วยกันครั้งแรก ฉันเห็นว่าไดนามิกส์ของวงมันไม่มีเลย แต่ก็มาไกลเกินกว่าจะเปลี่ยนแปลงใดใดแล้ว”

Blizzard of Ozz

ถ้าเรื่องเล่าชาวร็อกกล่าวถึง “comeback album” ในเชิงว่าศิลปินกลับมาทำความสะอาดตัวเองและตั้งใจทุ่มเททำงาน เรื่องแบบนั้นจะไม่ใช่สิ่งที่เกิดขึ้นกับ Ozzy เด็ดขาด เพราะ Ozzy จะดื่มเหล้าตั้งแต่เช้า และหลับตลอดบ่าย

ทั้ง 4 คน เริ่มบันทึกเสียงกันเมื่อวันที่ 22 มีนาคม ค.ศ. 1980 ที่ Ridge Farm Studios ในเซอเรย์ ซึ่งปรับปรุงจากโรงนาในศตวรรษที่ 17 มี Don Airey มือคีย์บอร์ดเป็นนักดนตรีสมทบ เคยร่วมงานBob มาก่อนในวง Rainbow และเคยฝากฝีมือไว้ในอัลบั้ม Never Say Die ของ Black Sabbath มาก่อนแล้ว

 Chris Tsangarides ซึ่งมีผลงานจากการทำงานร่วมกับ Gary Moore, Judas Priest เป็นคนดูแลการผลิตอัลบั้มนี้ ทว่าหลังจากทำงานไปได้เพียงสัปดาห์เดียว Chris ก็เลยโดนไล่ออกกลางครัน

เล่ากันว่า ด้วยสไตล์การทำงานที่เน้นแบบเก่า ๆ ทำให้เสียงออกมาไม่ค่อยดี แล้วที่เห็นได้ชัดก็คือ เสียงกลอง ที่ Chris ให้วางชุดกลองที่ด้านล่างของห้องคุมเสียง ซึ่งเป็นห้องที่ทำจากหิน หรือว่าคอนกรีต สูงแค่ประมาณ 7 ฟุต ซึ่งในห้องที่เล็กแบบนั้น ไม่อาจเก็บบรรยากาศเสียงกลองได้

Max Norman ซึ่งเป็นซาวด์เอนจิเนียร์ เลยแอบแก้ไขปรับแต่งเสียงกลอง โดยสมาชิกวงมาฟังในสิ่งที่ Max ทำ และเริ่มพูดคุยกันภายในว่า สิ่งที่ Max แนะนำมันดีกว่าที่ Chris ทำ ส่งผลให้ท้ายที่สุด Ozzy ตัดสินใจไล่ Chirs ออกจากการดูแลการผลิต และให้ Max Norman จัดการแทน โดยเครดิตในอัลบั้มเป็นของ Ozzy, Randy, Bob, และ Lee

รวมแล้ว อัลบั้มแรกของพวกเขาใช้เวลาเพียงสี่สัปดาห์ โดย Ozzy ใช้เวลาส่วนใหญ่ในผับ The Plough ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากสตูดิโอ และเจ้าของเดียวกับสตูดิโอ Ozzy เล่าถึงการทำงานอัลบั้มนี้ว่า “จากทุกเรื่องราวที่ผมเคยมีส่วนร่วม อัลบั้มแรกเป็นงานที่สนุกสนานมาก เพราะว่าคุณมีแต่ได้กับได้ ไม่มีอะไรต้องเสีย การบันทึกเสียง Blizzard of Ozz เต็มไปด้วยบรรยากาศที่มหัศจรรย์ Sharon มักจะมาหา เราไปที่ผับ เฮฮาไร้สาระ กลับมาทำงานนิดหน่อย แล้วก็สนุกสุดเหวี่ยง เหล้า ยา และเป็นข่วงที่จริงจังกับธุรกิจไปทุกเรื่องราว ผมไม่ค่อยเข้าใจเรื่องธุรกิจเท่าไหร่หรอก แต่ภรรยาของผมเป็นผู้จัดการ”

Blizzard of Ozz

Blizzard of Ozz วางจำหน่ายในวันที่ 12 กันยายน ค.ศ. 1980 หน้าปกอัลบั้มเป็นรูป Ozzy ถือไม้กางเขนในแบบหนังแนวพ่อมดเวทมนต์ สอดคล้องกับชื่ออัลบั้มล้อเลียนชื่อ Wizard of Oz โดยเล่นคำ Blizzard คือบรรยากาศพายุหิมะลมแรงที่สื่อถึงบรรยากาศแบบภาพยนตร์สยองขวัญ และขณะเดียวกันก็ทำให้คนเห็นชื่อนึกถึงอดีตของ Ozzy ได้ทันที

สิ่งที่น่าทึ่งในอัลบั้มนี้ก็คือเสียงกีตาร์ของ Randy Rhoads ที่ไม่ได้เล่นริฟฟ์รุนแรงหนักหน่วงทรงพลังอย่าง Tony Iommi ทว่าลื่นไหลแพรวพราวมีอิทธิพลของดนตรีคลาสสิคัลเข้ามาผสมผสาน ความพลิ้วไหวจากปลายนิ้วในเพลงบรรเลงสั้น ๆ “Dee” (ซึ่งย่อมาจาก Deroles มารดาของเขา) และเพลงบัลลาด “Goodbye to Romance” บ่งบอกถึงความชำนาญในการสร้างท่วงทำนองและเรียบเรียงเสียงประสานที่ซับซ้อน 

แต่เขาก็ยังไม่ทิ้งลายความเก๋าที่ยังคงต่อเนื่องจาก Black Sabbath นั่นคือ “Mr Crowley” ที่ว่าด้วยจอมเวทย์ผู้นำลัทธิ Thelima ซึ่งหลายฝ่ายตีความว่าเขาฝักใฝ่ทั้งที่เนื้อหาตั้งข้อสงสัยเรื่องการติดยาเสพติดของท่านเจ้าลัทธิและที่สำคัญ Ozzy แทบไม่รู้อะไรเกี่ยวกับผู้นำจิตวิญญาณนอกรีตท่านนี้เลย เพราะนามสกุลของท่านออกเสียงว่า โครว์ลีย์ แต่ Ozzy ออกเสียงในบทเพลงเต็มปากเต็มคำว่า คราวลีย์ 

เสียงออร์แกนช่วงอินโทรทำออกมาวังเวงหลอกหลอนโสตประสาทชวนให้รำลึกถึงภาพยนตร์สยองขวัญซึ่ง Don Airey บอกว่าเขาเป็นคนคิดเองทั้งหมด แต่ไม่ได้เครดิตในฐานะผู้ร่วมประพันธ์เพลง จะว่าไปเพลงนี้มีความเป็น Black Sabbath ไม่น้อย แต่ด้วยสไตล์การเล่นริฟฟ์และการวางโครงสร้างดนตรีที่แตกต่างกัน โดยเฉพาะท่อนโซโลในบทเพลงนี้ได้บาดใจมีท่วงทำนองชัดเจนลื่นไหล นี่คือสำเนียงใหม่ของ Ozzy ที่ยังคงขรึมขลังขณะเดียวกันออกสว่างสดใสออกป็อปมากกว่าความหนักหน่วงอึมครึมแบบ Black Sabbath

พูดถึงการเล่นกีตาร์ของ Randy คงต้องบอกว่าโดยส่วนตัวไม่ได้คลั่งไคล้อะไรนัก (ชอบเสียงกีตาร์ของTony Iommi กับ Jake E Lee มากกว่า) บางริฟฟ์ก็ยังรู้สึกว่า Randy ไม่ได้เป็นคนเล่นริฟฟ์ดุดัน อย่างเช่น “No Bone Movies” นี่ฟังเสียงริฟฟ์แล้วอดจินตนาการไม่ได้ว่าถ้าเป็น Jake E Lee เป็นคนคิดริฟฟ์มันจะสะเด่ากึ๋นขนาดไหน เพราะความโฉบเฉี่ยวดุดันจากปลายนิ้วของทั้งคู่ต่างกันเหลือเกิน

ไม่ใช่ว่า Randy เล่นไม่ดี เพราะถ้าเอาที่ริฟฟ์เพลง “Crazy Train” ก็ต้องถือว่ายอดเยี่ยมหาคนเทียบได้ยากเหมือนกัน การเล่นกีตาร์ในเพลงนี้ (และเพลง “Mr. Crowley”) ทำให้ Ozzy ได้สำเนียงใหม่ สลัดภาพลักษณ์ Black Sabbath ออกไปแสดงความเป็น Ozzy ชัดเจน ยิ่งถ้าฟังผ่านหูฟังจะได้ยินออกมาว่าเล่นโอเวอร์ดับก็ให้ความรู้สึกถึงความตั้งใจและพลังของ Randy

การนำดนตรีคลาสสิคัลเข้ามาใช้ในเพลงฮาร์ดร็อก/เมทัลไม่ใช่ของใหม่ Ritchie Blackmore ก็เคยทำมาก่อน แต่ Randy นำมาใช้ในอีกระดับหนึ่งต่างจาก Ritchie (และต่างจาก Yngwie J Malmsteen ที่จะตามออกมา) อย่างเช่นการไล่สเกลและการเรียบเรียงเสียงประสานในทิศทางที่ไม่เคยมีมาก่อน Bob คงคุ้นเคยกับสไตล์ดนตรีนี้พอสมควรจากที่เคยร่วมงาน Rainbow ของ Ritchie มาก่อน ทำให้เล่นเบสเข้าขากับ Randy ได้เยี่ยมมาก และถ้าฟังการเดินเบสในอัลบั้มนี้ดี ๆ จะรู้ว่ามีความโดดเด่นแบบที่ไม่ค่อยได้ยินในเพลงของ Ozzy ในช่วงหลัง 

แผ่นฉลอง 30 ปีที่ออกมา จะมีเพลงชื่อ “RR” เป็นการเล่นกีตาร์ความยาวนาทีเศษ ออกมาลื่นไหลและมีอารมณ์สดใหม่อย่างไม่น่าเชื่อ จนไม่น่าแปลกใจว่าทำไม Ozzy ตัดสินใจเลือก Randy ทั้งที่ฟัง Randy วอร์มมือก่อนทดสอบจริงจังด้วยซ้ำ

เสียงคีย์บอร์ดของ Don ในอัลบั้มนี้ก็ฉายแววชัดจนนึกเสียใจที่เขาไม่ได้อยู่ในวงในฐานะสมาชิกเหมือนคนอื่น โดยเฉพาะท่อนบรรเลงใน “Revelation (Mother Earth)” ที่สง่างามน่าประทับใจมาก แม้ว่าจุดเด่นของเสียงจะไปตกอยู่ที่กีตาร์เสียเยอะ แต่หลายเพลงคีย์บอร์ดก็แย่งความเด่นมาได้ไม่น้อยเลย ดอนเป็นจิ๊กซอว์ตัวสุดท้ายที่ทำให้อัลบั้มนี้มีสีสันงดงาม

Steal Away

รอบด่างพร้อยในอัลบั้มนี้ไม่ได้เกิดจากบทเพลง แต่เกิดจากผู้คน 

ตอนแรก Ozzy ตัดสินใจว่าจะทำเป็นวงดนตรีชื่อ Blizzard of Ozz 

และการให้ Randy ใส่เพลงบรรเลง “Dee” ในอัลบั้ม ก็เป็นเพราะเขาบอกว่ามันอัลบั้มของ “วงของเรา” แต่ด้วยเหตุผลเรื่องเงิน ๆ ทอง ๆ ทำให้ท้ายสุดแล้ว วงนี้กลายเป็นเพียงแค่วงแบ็กอัปให้กับ Ozzy เท่านั้น แน่นอนว่าคนที่อยู่เบื้องหลังก็คือคนในตระกูล Arden ซึ่งไม่ต้องการแบ่งเงิน 4 ส่วนเท่ากัน เรื่องนี้ทำให้นักดนตรีอีกสามคนมีสถานะเป็นเพียงแค่ลูกจ้าง รับเงินรายสัปดาห์ 

สมาชิกอีกสามคนรู้สึกเหมือนโดนหักหลังเพราะไม่รู้ตัวล่วงหน้ามาก่อน มารู้ตอนจะไปเล่นที่รีดดิงร็อกเฟสติวัล เดือนสิงหาคม ค.ศ. 1980 จากที่ตกลงกันตอนแรกว่าจะใช้ชื่อ Blizzard of Ozz ตัวใหญ่และใช้ชื่อ Ozzy ตัวเล็ก ๆ เพื่อช่วยโฆษณาว่านี่คือวงใหม่ของ Ozzy แต่พอใกล้ถึงวันแสดงกลับกลายเป็นว่าทางทีมบริหารของ Ozzy ขอเปลี่ยนไปใช้ชื่อว่า Ozzy Osbourne ตัวใหญ่โดยมีBlizzard of Ozz เป็นตัวเล็กเหมือนเป็นวงแบ็กอัป ทำให้มีปัญหาภายในจนต้องยกเลิกการแสดงในงานนั้น (ได้วง Slade มาเล่นแทน) และอีกหนึ่งเดือนถัดมา Blizzard of Ozz ก็วางจำหน่ายกลายเป็นชื่ออัลบั้มของ Ozzy ไป

Bob Daisley เล่าภายหลังว่าไม่มีใครชอบใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น Randy ยอมรับชะตากรรมเพราะในขณะนั้นเขายังไม่เป็นที่รู้จักนอกซันเซตสตริป การเล่นกับ Ozzy เป็นโอกาสที่เขาดังระดับโลก ส่วนตัวเขากับ Lee จำเป็นต้องยอมรับข้อเสนอที่ปฏิเสธไม่ได้

Sharon มีความคิดที่จะเขี่ย Bob Daisley กับ Lee Kerslake ออกจากวงตลอดเวลา เธออ้างว่า “พวกเขาเป็นนักดนตรีฝีมือดีนะ แต่ว่า ภาพลักษณ์ไม่ค่อยดีเท่าไหร่” แต่ในเวลาที่ Ozzy ได้พบกับ Bob และ lee นั้น เธอต้องอยู่จัดการเรื่องราวต่าง ๆ ในลอสแอนเจลิส กว่าจะกลับไปอังกฤษ วง Blizzard of Ozz ก็เป็นรูปร่าง เตรียมทำอัลบั้มแล้ว

ระหว่างการออกทัวร์ เธอมีความคิดจะไล่ Lee Kerslake ออกจากตลอดเวลา และตัว Ozzy เองก็ติดใจ Tommy Aldridge มากกว่า Lee อยู่แล้ว จึงค่อนข้างเห็นด้วยกับเธอ ในเวลานั้น ความสัมพันธ์ระหว่าง Sharon กับ Ozzy ก้าวไปไกลเกินผู้จัดการกับศิลปิน แต่ Ozzy ยังเก็บเป็นความลับ และยังแวะเวียนกลับไปหา Thelma เป็นประจำ

ในวันที่ 31 ตุลาคม ค.ศ. 1980 หลังจากจบการแสดงที่  ไบรตัน โดม Tommy Aldridge อดีตมือกลอง Black Oak Arkansas ก็ร่วมสังสรรค์กับสมาชิกวงในฐานะแขกของ Sharon ในตอนนั้น Lee ไม่ได้เอะใจเลยว่าชะตากรรมที่โหดร้ายกำลังรอเขาอยู่

“Tommy เป็นมือกลองที่ยิ่งใหญ่ แต่ Lee ลงตัวเหมาะสมกับเรามากกว่า” Bob แสดงความเห็น เขาเล่าว่า ทั้ง Sharon และ Ozzy พูดระหว่างออกทัวร์ให้เขาได้ยินเสมอว่า จะให้ Tommy มาแทนที่ Lee เพราะ Ozzy ตั้งใจเลือก Tommy ตั้งแต่แรกแล้ว “ระหว่างการออกทัวร์ Ozzy กับ Sharon มักจะพูดกับผมเรื่อย ๆ ว่า ไล่ Lee ออกเหอะ ให้ Tommy เข้าวงแทน แต่ผมไม่เห็นด้วย ไม่ใช่ว่าผมซื่อสัตย์ต่อ Lee หรืออะไรหรอกนะ แต่เป็นเพราะผมเห็นว่าอะไรที่ยังใช้งานได้ดีจะไปซ่อมมันทำไม? ผมไม่เห็นด้วยกับเรื่องนี้ เลยยืนกรานไปว่าไม่เอา” 

แต่หลังจากบันทึกเสียงอัลบั้ม Diary of A Madman เสร็จ Bob ก็ต้องพบข่าวร้าย เมื่อเขาโทรศัพท์หามารดา แล้วบอกเธอว่า ทำอัลบั้มเสร็จแล้วนะ 

“แล้วลูกจะทำอะไรต่อ”

“สัปดาห์หน้าคงไปอเมริกา ออกทัวร์โปรโมทอัลบั้มละมั้ง”

“ไม่หรอก เป็นไปไม่ได้”

“หมายความว่าไงครับแม่”

“ลูกคิดว่ายังอยู่ในวง แต่ลูกไม่ได้อยู่ในวงแล้ว มือกลองด้วย”

แม่ของ Bob ไม่รู้จัก Lee Kerslake แต่เธอรู้จากข่าวที่แพร่สะพัดข้างนอกว่า Ozzy ไล่ Bob และ Lee ออกจากวงไปแล้ว แต่ในเวลานั้น Bob ยังคิดว่าเป็นไปไม่ได้ จนอีกสองสามวันถัดมา เขาก็ได้รับโทรศัพท์จาก Sharon

“ผมคิดว่า พวกเขาต้องการไล่ Lee ออกจากวง เพราะอยากได้ Tommy Aldridge และทางเดียวที่จะทำไม่ให้น่าเกลียดคือ ไล่ผมออกจากวงไปด้วย แล้วค่อยให้ผมกลับเข้าวงอีกครั้ง และมันก็เป็นแบบนั้น ประมาณ 6 สัปดาห์ต่อมา ผมได้รับโทรศัพท์จาก Sharon และมีการนัดพบเธอแล้วก็มีพวกนักบัญชีหรืออะไรอยู่ด้วย เธอบอกว่า ให้คุณกลับเข้าร่วมวงก็เป็นเรื่องหนึ่ง แต่เราอยากให้คุณเขียนเพลงและบันทึกเสียงในอัลบั้มถัดไป”

ในเวลานั้น Sharon วางแผนว่า อัลบั้มถัดไป จะมี Randy เป็นมือกีตาร์ Tommy ตีกลอง Bob เล่นเบส และ Don Airey เล่นคีย์บอร์ด แต่อุบัติเหตุเครื่องบินตกคร่าชีวิต Randy ไปเสียก่อน

I Don’t Know

ต่อมา Bob และ Lee ฟ้องร้องเพื่อเรียกร้องสิทธิและผลประโยชน์ที่พวกเขาควรจะได้ โดยเฉพาะอัลบั้ม Diary of a Madman ที่ทั้งคู่เป็นผู้บันทึกเสียง แต่โดนลบชื่อออกจากปกอัลบั้ม

ซึ่งก็พ่ายแพ้เพราะผลงานของ Ozzy ออกมาในนามศิลปินเดี่ยวไม่ใช่วงดนตรีที่สมาชิกเท่าเทียมกัน แต่ก็ได้เครดิตในการร่วมประพันธ์เพลง Max Norman ซาวน์เอนจิเนียร์ก็ยืนยันว่าทั้ง Bob และ Lee ต่างก็มีส่วนร่วมในการทำเพลงไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน

ตอนแรก Bob ตั้งใจจะฟ้อง Don Arden ในฐานะเจ้าของบริษัท Jet Records ที่ลบชื่อเขาออกจากอัลบั้ม Diary of a Madman และนำคนอื่นมาใส่แทน และในตอนนั้นเองที่เขาได้รู้จาก Don ว่า ได้จ่ายค่าลิขสิทธิ์ผ่านทาง Ozzy และ Sharon จึงเปลี่ยนเป้าหมายไปฟ้อง Ozzy แทน 

ช่วงที่ Bob กับ Lee ฟ้องร้องเรียกค่าลิขสิทธิ์เพลงจาก Ozzy เป็นช่วงเวลาที่ทำร้าย Blizzard of Ozz (และ Diary of A Madman) สาหัสสากรรจ์ เพราะกลายเป็นว่า Sharon กับ Ozzy พยายามลบทั้งคู่จากอัลบั้มตั้งแต่อาร์ดเวิร์กในปกอัลบั้มไปจนถึงเสียงกลองและเบสที่ให้ Mike Bordin กับ Robert Trujilo มือกลองและเบสของ Ozzy ในขณะนั้นบันทึกเสียงอัลบั้มนี้แล้วเอาไปมิกซ์ใหม่เป็นเวอร์ชันค.ศ. 2002 พอแฟนเพลงรู้ก็ด่ากันยับทั่วสารทิศจน Sharon อ้างว่าOzzy เป็นคนสั่ง Ozzy ก็อ้างว่า Sharon เป็นคนทำ เขาไม่เกี่ยว…

ซึ่งเวอร์ชันนี้ไม่แนะนำอย่างแรง เสียงกลองและเบสมันทื่อไป (อาจจะคิดไปเองคนเดียวก็ได้) แต่รู้สึกว่ามันไม่มีความเร้าใจเหมือนก่อน เช่น “I Don’t Know” เสียงกลองดูจะอ่อนด้อยอย่างไรพิกล เสียงเบสก็เบาบางลงต่ำ แม้แต่ “Crazy Train” ที่ช่วงต้นต้องใช้เสียงเบสและทอมย่ำ ๆ เสียงก็ออกมาเบาบางปราศจากพลังแถมเสียงเบสยังแปลก ๆ ฟังแล้วหงุดหงิดหัวใจ

แม้แต่เมื่อทำสารคดีเกี่ยวกับสองอัลบั้มแรก ทั้ง Sharon และ Ozzy ก็ทำเหมือนว่า Lee กับ Bob ไม่มีตัวตน คนสำคัญมีแค่ Ozzy กับ Randy (ซึ่งเสียชีวิตไปแล้ว) ซึ่งถ้าจะให้ตั้งข้อสังเกตอย่างที่ควรจะเป็นก็คือ Ozzy ไม่ใช่คนที่มีความสามารถด้านเขียนเพลงแม้แต่น้อย สมัยที่อยู่วง Black Sabbath ตัว Ozzy ไม่เคยแสดงศักยภาพในด้านการแต่งเพลง แม้ว่าเขามีส่วนร่วมในการทำท่วงทำนองอยู่บ้าง แต่แทบไม่เคยเขียนเนื้อร้องและทำดนตรีเอง เนื้อร้องเกือบทั้งหมดเขียนโดย Geezer Butler เท่าที่จำได้ก็จะมี “เดอะริต” ในอัลบั้ม Sabotage ที่เขียนเพลงด่าผู้จัดการคนก่อนหน้าDon Arden 

ใน Blizzard of Ozz ก็ไม่ได้ต่างกัน เพราะหน้าที่ทำดนตรีและเขียนเนื้อเพลงเกือบทั้งหมดเป็นฝีมือของ Randy Rhoads กับ Bob Daisley ดังนั้นการที่ Ozzy พยายามทำเหมือนกับว่าสองอัลบั้มแรกเป็นผลงานที่เข้าคู่กันอย่างมหัศจรรย์ของ Ozzy กับ Randy จึงเป็นการไม่ให้เกียรติ Bob อย่างน่าอดสู เพราะในเวลาก่อนออกอัลบั้ม Blizzard of Ozz นั้น Sharon เกือบจะไร้ตัวตนอยู่ภายใต้บารมีของ Don Arden ผู้เป็นบิดา ส่วน Ozzy เมื่อออกจาก Black Sabbath ก็ใช้เวลาหมกตัวอยู่ในห้องร่วมครึ่งปีโดยไม่ทำอะไรเลยนอกจากกินเหล้าเสพยา นอนกลิ้งเกลือกไปมา ไม่สามารถลุกมาทำงานของตัวเองได้

ท้ายสุด

Blizzard of Ozz เป็นผลงานที่ดีเยี่ยม อาจจะไม่ถึงขั้นสมบูรณ์แบบแต่ก็เป็นผลงานที่ทำให้ Ozzy กลับมายืนหยัดในวงการเมทัลได้อย่างสง่างาม และทำให้โลกได้รู้จักกับ Randy Rhoads มือกีตาร์ผู้มีทั้งความไพเราะ อ่อนหวาน และแข็งแกร่งที่สุดคนหนึ่งในโลกของฮาร์ดร็อกและเฮฟวีเมทัล

อ่านเพิ่มเติม https://bobdaisley.com/interview/website


Comment

Leave a Reply