Black Sabbath: Dehumanizer

Dehumanizer สตูดิโออัลบั้มลำดับที่ 16 ของ Black Sabbath และเป็นอัลบั้มแรกในรอบเกือบทศวรรษที่ได้ Ronnie James Dio กลับมาร่วมงานอีกครั้ง

ทศวรรษ 80 เป็นช่วงเวลาที่ผันผวนขึ้นลงสำหรับวงดนตรีที่ชื่อ Black Sabbath พวกเขาเริ่มต้นทศวรรษด้วยความยิ่งใหญ่เกินคาดกับอัลบั้ม Heaven and Hell (1980) ที่มี Ronnie James Dio เป็นนักร้องนำ แต่หลังจากทำอัลบั้มร่วมกัน 2 อัลบั้ม Ronnie ก็แยกตัวไปทำวง Dio หลังจากนั้น Black Sabbath ก็เริ่มดิ่งเหวอย่างรวดเร็วจนกระทั่ง Tony Iommi มือกีตาร์ผู้ประคับประคอง Black Sabbath มาตลอดเกือบถอดใจทิ้ง Black Sabbath

Seventh Star (1986) ไม่ประสบความสำเร็จทางการตลาด แม้แต่นักวิจารณ์ก็ดูจะไม่ชอบอัลบั้มเหล่านั้น ดูเหมือนพวกเขาจะสูญเสียมนต์ขลังของ Black Sabbath ไปเสียแล้ว และ Tony ก็บอกว่า ความจริงเขาตั้งใจจะทำเป็นอัลบั้มเดี่ยว แต่ว่าบริษัทขอร้องให้กลับไปใช้ชื่อ Black Sabbath หน้าปกเลยพิมพ์คำว่า Featuring Tony Iommi และใช้รูป Tony เป็นหน้าปกอัลบั้ม

ถึงแม้ว่าเวลาต่อมา พวกเขาจะได้ Tony Martin มาเป็นนักร้องและดนตรีกลับมาหนักแน่นสมศักดิ์ศรีเหมือนเดิม แต่ยอดจำหน่ายไม่ได้ดีอย่างสมัยที่พวกเขากำลังรุ่งโรจน์ เมื่อถึงอัลบั้ม Tyr ชะตากรรมของ Tony Martin ก็จบสิ้นกับ Black Sabbath

ในเวลานั้น สถานการณ์แบบเดียวกับ Black Sabbath ก็เกิดกับ Ronnie James Dio ด้วยเช่นกัน

เมื่อตอนที่ Ronnie ออกจากวง Black Sabbath เขาตั้งวง Dio ขึ้น ตอนแรกก็ไปได้สวย แต่ยิ่งทำไปยอดจำหน่ายก็ยิ่งตกต่ำลงตามลำดับ

เมื่อทั้งสองฝ่ายกำลังลำบาก ความบาดหมางในอดีตก็โดนละวางให้อยู่ในอดีต ส่วน Tony Martin ส่วนผสมที่เคยลงตัวในยุคหลังก็กลายเป็นส่วนเกินที่ต้องออกไป

“ผมยอมรับตามตรงว่ารู้สึกแย่ที่ต้องให้เขาไป” Tony Iommi นักกีตาร์กล่าว “แต่ความจริงก็คือ เขาเองก็ต้องการออกจากวง เขาหันไปเขียนเพลงให้คนอื่นมากขึ้น แทนที่จะแสดงดนตรีกับ Black Sabbath เขาเข้าใจสถานการณ์กับ Ronnie ดังนั้นมันเลยไม่มีปัญหา”

แต่ถ้าฟังจากฝั่ง Tony Martin ก็จะเป็นอีกแบบหนึ่ง เขาบอกว่า จู่ ๆ วง Black Sabbath ก็หยุดติดต่อเขาไปเฉย ๆ โดยที่เขาไม่รู้ตัวด้วยซ้ำ “ตอนที่ผมกำลังเดินออกจากบ้านเพื่อไปซ้อมดนตรีสำหรับอัลบั้มถัดไป เสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น คนโทรศัพท์มาก็คือผู้จัดการของผม เขาบอกว่า ‘พวกนั้นไม่ต้องการให้คุณทำงานต่อแล้ว’ ผมไม่เห็นวี่แววสัญญาณบอกเหตุมาก่อนหน้านั้นเลย”

บางที ในช่วงเวลานั้น Tony Iommi เองก็ไม่แน่ใจว่าจะทำงานร่วมกับ Ronnie ดีหรือไม่ เพราะมีอะไรบางอย่างที่ดูจะไม่ “คลิก” กันอยู่ตลอดเวลา อย่างเช่น Ronnie อยากให้ Simon Wright มือกลองที่อยู่กับวง Dio มาเป็นมือกลองแทนที่ Cozy Powell มือกลองของ Black Sabbath ในขณะนั้นที่ประสบอุบัติเหตุที่ออกจะประหลาดอยู่สักหน่อย คือ โดนม้าล้มทับจนสะโพกหัก ต้องรักษาตัวเป็นระยะเวลายาวนาน แต่ Tony กับ Geezer Butler กลับคิดว่าไม่เหมาะสม และทามทามให้ Vinny Appice อดีตมือกลองของ Black Sabbath สมัยอัลบั้ม Mob Rules และ มือกลองยุคแรกของ Dio มาเป็นมือกลองแทน

และก็เหมือนกับสมาชิก Black Sabbath สมัยทำอัลบั้ม Mob Rules กลับมา Re-Union กัน ช่วยเป็นการโฆษณาได้อีกทาง

แม้แต่ตอนที่เข้าห้องบันทึกเสียงแล้ว ยังมีความคิดที่จะกลับไปใช้บริการของ ​Tony Martin เหมือนเดิม โดย Tony เล่าว่า “ผมได้รับโทรศัพท์จาก Tony Iommi บอกว่า ‘ตอนนี้ (ทำงานกับ) Dio ออกมาไม่สวย คุณกลับมาได้มั้ย’ ผมตอบไปว่า ไม่ ผมกลับไปไม่ได้ ผมกำลังเตรียมทำอัลบั้มเดี่ยวและผมก็ดำเนินชีวิตต่อไปแล้ว Iommi ยังคงโทรกลับมาหาผมอีกครั้งหลังจากนั้นสองสามเดือน ถามว่า ‘คุณแน่ใจนะว่าคุณจะไม่กลับมา ทางนี้ไปต่อไม่ได้”

คราวนี้ Tony Martin ตกลงใจที่จะกลับเข้าสตูดิโอที่ Black Sabbath กำลังบันทึกเสียงอยู่ “ผมพยายามใส่ท่วงทำนองหรืออะไรแบบนั้น แต่ว่าเวลามันน้อยไป ผมเลยบอกว่า นี่ ฟังนะ ถ้าผมจะกลับมาทำงานนี้ ผมต้องเขียนเพลงใหม่ทั้งหมดเลย ผมอยากให้ใช้เวลากับมันมากกว่านี้ อยากจะทำงานใหม่ แต่พวกเขาบอกว่า เราไม่มีเวลาสำหรับทำอย่างนั้นหรอก ถ้าอย่างนั้นผมก็คงต้องให้มันเป็นแบบนี้ บางทีสิ่งที่ดีที่สุดก็คือการให้พวกเขาไปต่อกับ Dio แล้วเราก็มีเจรจากันต่อหลังจากนั้น”

สุดท้ายก็ยังให้ Ronnie เป็นนักร้องนำ ซึ่งเขากล่าวถึงสถานการณ์ในตอนนั้นว่า “ใช่ มีความตึงเครียดเกิดขึ้นในตอนนั้น เราทำดีที่สุดแล้ว เราตั้งใจไม่ให้มันเป็นอะไรอื่นนอกเหนือไปจากการทำอัลบั้มอีกหลายอัลบั้ม ออกทัวร์กันเยอะ ๆ และอาจจบอาชีพของเราไปแบบนั้น”

Tony Martin ให้สัมภาษณ์ภายหลังว่า ถึงแม้ Black Sabbath จะเดินหน้าต่อกับ Ronnie แต่เขาก็ยังพูดคุยติดต่อกับ Tony Iommi อยู่เสมอ และยังเคยไปดูพวกเขาแสดงสดด้วย ซึ่งทำให้ Ronnie ไม่ค่อยพอใจ เพราะ Tony Iommi เชิญเขาขึ้นไปแจมบนเวที 

Dehumanizer

อัลบั้ม Dehumanizer วางจำหน่ายในวันที่ 22 มิถุนายน ค.ศ. 1992 และผลตอบรับโดยทั่วไปก็เป็นไปในทางบวก ยอดจำหน่ายก็สูงกว่ายอดจำหน่ายอัลบั้มในทศวรรษก่อนหน้านั้น และผลงานชุดนี้เป็นเฮฟวีเมทัลที่หนักหน่วงรุนแรง เข้ากับสถานการณ์ดนตรีเมทัลในช่วงต้นทศวรรษ 90 เป็นบทพิสูจน์ว่าพวกเขายังคงมีความคิดสร้างสรรค์โดยนำองค์ประกอบความสำเร็จในอดีตของพวกเขามาหลอมรวมเข้ากับเรื่องราวร่วมสมัย

โดยส่วนตัว มองว่า Dehumanizer เป็นผลงานที่ยอดเยี่ยมของ Black Sabbath ในยุคหลัง โดยเฉพาะเรื่องบทเพลงที่หนักหน่วงแบบนี้ และผลงานนี้น่าจะเป็นต้นแบบการเปลี่ยนแปลงดนตรีในงานของ Dio หลังจากนั้นด้วย (เช่น Angry Machines) ในแง่ของดนตรี อาจจะบอก (แบบมีอคติเล็กน้อย) ว่า นี่อาจจะเป็นอัลบั้มที่ดีที่สุดของ Black Sabbath นับจากอัลบั้ม Heaven And Hell

สิ่งที่ต้องชื่นชมก็คือเสียงกีตาร์ของ Tony Iommi การผสานท่อนริฟฟ์สไตล์ดูมเมทัลแบบ Black Sabbath ยุคแรก ๆ ส่วนคนอื่นไม่ต้องพูดถึง แต่ละคนเล่นได้สมศักดิ์ศรีชื่อเสียงที่สั่งสมกันมา ขณะเดียวกัน เนื้อหาดนตรีก็ไม่ได้เล่นกับความเชื่อ ภูตผีปิศาจ หรือว่าตำนานเทพทั้งหลาย อย่างเช่น ​“Computer God” ตอนที่ได้ยินเสียงอินโทรเครื่องจักรหรือว่ากลไกอะไรสักอย่าง ก่อนจะเข้าสู่เสียงกลองหนักแน่น ตามมาด้วยเสียงกีตาร์ดุดัน เสียงเบส และเสียงร้องทรงพลังของ Ronnie ซึ่งเขาทำได้ยอดเยี่ยมมากในผลงานชุดนี้ และเป็นการใช้เสียงที่น่าจะดีเกือบที่สุดในรอบทศวรรษ

หลักจากทักทายแฟนเพลงด้วยบทเพลงหนักแน่นฮึกเหิม พวกเขาก็นำเสนอดนตรีที่หลากหลาย แต่ยังความเป็น Black Sabbath ไม่เสื่อมคลาย เพลงที่ตามต่อมา “After All (The Dead)” Tony ได้แสดงศักยภาพในฐานะผู้บุกเบิกดนตรีดูมเมทัล ท่อนริฟฟ์กีตาร์ที่เชื่องช้า หน่วง ผสมเข้ากับเสียงกลองที่โดดเด่น เสียงร้องที่ก้าวร้าวทรงพลัง นี่คือบทเพลงในแบบ Black Sabbath ยุค 4 – 5 อัลบั้มแรก ที่ได้เสียงร้องทรงพลังโหยหวนของ Ronnie มาช่วยเสริม และไม่ใช่แค่เพลงนี้ “Too Late” ก็นำเสนอดนตรีในสไตล์ดูมเมทัล สุดหนักหน่วง ให้ชุ่มชื่นใจ

แต่ถ้าอยากฟังเพลงรวดเร็วดุดันหน่อย พวกเขาก็ยังมีเพลง “TV Crime” ความฮึกห้าวโจนทะยาน แสดงสัญชาติญาณดิบที่น่าหลงใหล การสับริฟฟ์กีตาร์ของ Tony เป็นความเรียบง่ายที่น่าอัศจรรย์ใจ อย่างเช่นท่อนริฟฟ์ใน “Time Machine” ไม่ได้ใช้โน้ตที่แปลกประหลาด แต่การสับริฟฟ์ที่มั่นคงแบบนี้ Tony ทำออกมาได้มีเอกลักษณ์

บางที อัลบั้มนี้อาจจะโดนประเมินค่าต่ำเกินกว่าความเป็นจริง หากนำไปเทียบกับผลงานในยุค Mob Rules แล้วก็น่าจะใกล้เคียง หรือ ไม่ได้ทิ้งห่างอะไรเลย ที่สำคัญคือ มันน่าจะเป็นช่วงที่ Ronnie ยังคงมีความสมบูรณ์ในตัวเองและพร้อมจะระเบิดความสดใหม่ออกมา โดยมีเสียงกีตาร์ของ Tony โอบอุ้มอยู่เบื้องหลัง นี่เป็นสิ่งที่เข้ากันอย่างที่สุด จนอาจจะเปรียบเปรยว่านี่คือ “การแต่งงานในสรวงสวรรค์”

อยากจะบอกว่า เกือบทุกเพลงในอัลบั้มนี้มีดีในตัวเองและแสดงความเป็น Black Sabbath ยุคหลัง Ozzy ได้ชัดเจนและหลากหลายสีสัน

หลังจาก Dehumanizer

น่าเสียดายที่การร่วมงานของ Ronnie กับ Black Sabbath จบเร็วกว่าที่คิด เมื่อ Ozzy Osbourne อดีตนักร้องนำยุคออริจินอลและคลาสสิกไลน์อัป ประกาศเกษียณตัวเองจากวงการดนตรีและเล่นคอนเสิร์ตอำลาโดยให้ Black Sabbath เป็นวงเปิด

แน่นอนว่าด้วยศักดิ์ศรี Black Sabbath ไม่สมควรจะเป็นวงเปิดให้กับใคร…แม้แต่อดีตนักร้องนำคนสำคัญของวงก็ตาม

แต่ความจริงที่เจ็บปวดก็คือ ณ เวลานั้น Ozzy Osborne ประสบความสำเร็จระดับตำนานที่ยังมีลมหายใจที่ทำยอดจำหน่ายได้หลักล้านแผ่น ออกทัวร์คอนเสิร์ตตามสนามกีฬาใหญ่ก็ขายบัตรชมคอนเสิร์ตหมดเกลี้ยง การเป็นวงเปิดให้กับ Ozzy เป็นผลดีด้านการเงินกับวงมากกว่า

“นั่นไม่ใช่เหตุผลที่ผมกลับเข้าร่วมวงอีกครั้ง” Ronnie อธิบายในเวลาต่อมา “ผมกลับเข้าร่วมวงเพราะว่าวงดนตรีเป็นตัวของตัวเอง แล้วมันกลายเป็นละครสัตว์ว่าด้วยเรื่อง Black Sabbath Re-Union นี่ไม่ใช่เรื่องส่วนตัวกับ Ozzy ไม่มีอะไรส่วนตัวกับพวกสมาชิกวงคนอื่น มันเป็นแค่เรื่องศักดิ์ศรีที่คุณต้องมีในตัวของคุณเอง”

Ronnie จึงลาออกกะทันหัน Black Sabbath ต้องให้ Rob Halford นักร้องนำ Judas Priest มาทำหน้าที่ชั่วคราวในคอนเสิร์ตครั้งนั้น และจ้าง Tony Martin กลับมาเป็นนักร้องนำของวงอีกครั้ง

อย่างไรก็ตาม Ronnie กลับมาทำงานกับ Black Sabbath อีกครั้งในช่วงเวลาสุดท้ายของชีวิต แต่เป็นในนาม Heaven and Hell เพื่อเลี่ยงปัญหาเรื่องลิขสิทธิ์ชื่อวง Black Sabbath กับ Ozzy และออกอัลบั้ม The Devil You Know ในปีค.ศ. 2009 ซึ่งเป็นอัลบั้มสุดท้ายในชีวิตของ Ronnie

Leave a Reply

Scroll to top
%d bloggers like this: