Chris Gaines: The Greatest Hits
Chris Gaines ศิลปินผู้ยิ่งใหญ่กับอัลบั้มรวมเพลง The Greatest Hits ของเขา
เมื่อปีค.ศ. 1999 จู่ ๆ ก็มีอัลบั้ม The Greatest Hits ของศิลปินชื่อ Chris Gaines ขึ้นถึงอันดับ 2 ในตารางจัดอันดับบิลบอร์ด
เริ่มแรก บางคนก็งุนงง Chris Gaines เป็นใครมาจากไหน? ออกอัลบั้มรวมฮิตมาด้วยทำไมไม่คุ้นชื่อมาก่อน ก่อนหน้านั้นเคยมีอัลบั้มอะไรมาบ้าง?
Chris Gaines
โชคดี ในปกซีดีมีประวัติย่อของ Chris อยู่ด้วย ขอคัดลอกเฉพาะบางช่วงบางตอนให้อ่านกันเพลิน ๆ ดังนี้
Christian Gene Gains เกิดเมื่อวันที่ 10 สิงหาคม ค.ศ. 1967 ในบริสเบน, ออสเตรเลีย ครอบครัวย้ายมาลอสแอนเจลิสเมื่อเขาอายุ 5 ปี เป็นลูกคนเดียว บิดาเป็นโคชนักกีฬาว่ายน้ำโอลิมปิก
…Chris ร่วมกับ Tommy Levitz และ Marc Obed ทำวง CRUSH เซ็นสัญญากับแคปปิตอลเร็คคอร์ดในปีค.ศ. 1985 ออกอัลบั้มแรกปีค.ศ. 1986 มีซิงเกิล “My Love Tells Me So” เป็นเพลงฮิต แต่น่าเสียดายที่ Tommy Levitz นักร้องนำเสียชีวิตในอุบัติเหตุเครื่องบินตก
…Chris ออกอัลบั้มเดี่ยวในปีค.ศ. 1989 ชื่อ Straight Jacket อัลบั้มนี้อยู่ในชาร์ตบิลบอร์ดท็อป 200 ถึง 224 สัปดาห์ และได้รับรางวัลแกรมมี มีเพลง “Maybe” “White Flag” และ “Digging for Gold” เป็นเพลงฮิต และอัลบั้มนี้เป็นอัลบั้มที่ทำยอดจำหน่ายสูงสุด และได้รางวัลแกรมมี อัลบั้มแห่งปี
แต่บิดาของ Chris เสียชีวิตในช่วงฤดูใบไม้ร่วงปีค.ศ. 1990 หลังจากต่อสู้กับโรคมะเร็งเป็นเวลานาน หลังจากนั้นเป็นปี Chris จึงออกอัลบั้มที่สอง Fornucopia ซึ่งมีโทนที่หม่นมืดและกราดเกรี้ยว อัลบั้มนี้ขึ้นถึงอันดับ 1 และอยู่ในอันดับ 1 นานถึง 18 สัปดาห์ อัลบั้มนี้มีเพลงอมตะของ Ramsey Sellers “It Don’t Matter to the Sun”
ปีค.ศ. 1992 Chris เกือบเสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางรถยนต์ เขาต้องรักษาตัวในโรงพยาบาลนานถึง 6 สัปดาห์ และใช้เวลาต่อจากนั้นอีก 2 ปีในการบำบัดรักษารวมทั้งผ่าตัดศัลยกรรมที่ใบหน้า ไหล่ และมือ ซึ่งทำให้เขาไม่ปรากฏตัวในสื่อต่าง ๆ อีกต่อไป แต่ก็ยังทำอัลบั้มลำดับที่ 3 Apostle ในช่วงฤดูหนาวปีค.ศ. 1994 โดยที่เขาไม่โปรโมตอะไรทั้งสิ้น แต่อัลบั้มก็ยังขึ้นอันดับ 1 ในบิลบอร์ดท็อป 200 นานถึง 8 สัปดาห์ มีซิงเกิล “Way of the Girl” และ “Unsigned Letter”
Chris ปรากฎตัวต่อสาธารณะอีกครั้งในช่วงฤดูหนาวปีค.ศ. 1996 ดนตรีเปลี่ยนเข้าหาอาร์แอนด์บี ใช้ชื่ออัลบั้มว่า Triangle มีเพลง “Driftin’ Away” “That’s the Way, I Remember It” และ “Snow in July”
ฯลฯ
ถึงตอนนี้คงมีคนฉุกใจคิดแล้วว่า มีอัลบั้มติดอันดับหนึ่งบิลบอร์ดชาร์ตด้วยสถิติไม่ธรรมดาเช่นนี้ ทำไมถึงจำเขาไม่ได้…
พลิกหน้าปกอัลบั้มด้านใน จะมีพิมพ์ข้อความไว้ว่า Garth Brooks in…the Life of Chris Gaines
Grath Brooks
ความจริงก็คือ Chris Gains ไม่มีตัวตน แต่เป็นตัวละครสมมติที่ควรจะอยู่ในภาพยนตร์เรื่อง The Lamb รับบทโดย Garth Brooks คันทรีสตาร์ผู้ทำยอดจำหน่ายอัลบั้มหลายสิบล้านอัลบั้ม
เพื่อเตรียมตัวไปสู่ภาพยนตร์ ทำให้ Garth รับบทบาทสมมตินอกจอ เขาปรากฏตัวในฐานะ Chris Gains ในรายการดัง Saturday Night Live และ Behind The Music ในช่อง VH1
The Greatest Hits ก็คืออัลบั้มเพลงประกอบภาพยนตร์ที่ปล่อยออกมานำร่องก่อนจะปล่อยภาพยนต์ The Lamb ซึ่งคาดหมายว่าน่าจะประสบความสำเร็จ โดยแผนการตลาดวาดหวังว่าจะสร้างกระแสความสนใจจากแฟนเพลงของ Garth ได้จากอัลบั้มนี้ และจะเป็นการสร้างความสนใจไปสู่ภาพยนตร์ที่ Garth จะรับบทเป็น Chris Gaines
แต่การณ์กลับไม่เป็นเช่นที่วางแผน!
อัลบั้ม The Greatest Hits ล้มเหลว เมื่อนำผลงานที่ผ่านมาของ Garth Brooks เป็นตัวเปรียบเทียบ ยอดจำหน่ายประมาณ ล้านแผ่น และขึ้นถึงอันดับสองในบิลบอร์ดป็อปชาร์ต สำหรับใครอื่นอาจจะเป็นความสำเร็จที่น่าภูมิใจ แต่กลับศิลปินที่ชื่อ Garth Brooks แล้ว ยอดจำหน่ายล้านแผ่นเป็นความล้มเหลว
Garth Brooks คือศิลปินคันทรีผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดของอเมริกาในทศวรรษ 90 เขามีอัลบั้มขายได้มากกว่า 10 ล้านแผ่นในอเมริกาหลายชุด อัลบั้ม No Fences (1990) ทำยอดจำหน่ายได้ถึง 18 ล้านแผ่น (เฉพาะในอเมริกาแห่งเดียว) Double Live (1998) มียอดจำหน่ายถึง 21 ล้านแผ่น
ในทางสถิติ เขาคือศิลปินเดี่ยวที่มียอดจำหน่ายอัลบั้มในอเมริกาเป็นรองเพียงแค่Elvis Presleyเท่านั้น! (ในปีค.ศ. 2012 ยอดจำหน่ายรวมทุกอัลบั้มของเขาแซงหน้า The Beatles ไปแล้ว) แต่เขายุติบทบาทนักร้องในปีค.ศ. 2001 ด้วยเหตุผลทางด้านครอบครัว แต่เขากลับมาออกแสดงสดอีกในปีค.ศ. 2009 (ตั้งแต่ปีค.ศ. 2005 เป็นต้นมา เขามีอัลบั้มพิเศษเช่นอัลบั้มคริสมาสต์วางจำหน่ายไม่ผ่านบริษัทหรือช่องทางปกติ)
อัลบั้ม The Greatest Hits วางจำหน่ายวันที่ 28 กันยายน ค.ศ. 1999 ณ เวลานั้นยังไม่มีใครรู้เรื่องโปรเจ็กต์ภาพยนตร์ ถึงจะมีหน้าตาของ Garth Brooks บนหน้าปก แต่แต่งหน้าตาและใส่วิกผมเป็นร็อกสตาร์เต็มตัว แฟนเพลงของ Garth น่าจะจำได้ แต่อาจจะไม่ปลื้มที่ศิลปินคนโปรดเปลี่ยนมาทำเพลงร็อก


ร้านค้าปลีกต้องลดราคาจำหน่ายหลังจากวางจำหน่ายไม่นานนัก เพราะสั่งตุนอัลบั้มไว้มากเกินไป และในที่สุดการพิมพ์ปกจำหน่ายครั้งหลังต้องนำเอาภาพด้านในปกอัลบั้ม มาใช้เป็นปกหน้าแทน เปลี่ยนชื่ออัลบั้มจาก Chris Gains The Greatest Hits เป็น Garth Brooks in…the Life of Chris Gaines เพื่อหวังผลทางการตลาด ซึ่งก็ไม่สำเร็จ
และเมื่ออัลบั้มนี้ไปได้ไม่สวยอย่างที่คิด ภาพยนตร์เรื่อง The Lamb จึงไม่ได้ดำเนินการต่อ
The Greatest Hits
ผลงานในนาม Chris Gaines จะเป็นป็อปร็อก ซึ่ง Garth Brooks ก็เคยเอาเพลง “Hard Luck Woman” ของ KISS มาบรรเลงใหม่ในอัลบั้มสดุดี KISS ที่ชื่อ KISS MY ASS (1994)ดังนั้นจึงไม่ค่อยมีความประหลาดใจเท่าไหร่นัก
การออกแบบหน้าปก และบุ๊กเลตด้านใน ล้วนแล้วแต่นำเสนอ Chris Gaines ประหนึ่งมีตัวตนจริง ซึ่งน่าสนใจ เพราะถ้าเราตัดตัวตนของ Garth Brooks ออกไป คิดว่านี่คืออัลบั้มรวมเพลงของ Chris Gaines ตามเรื่องราวที่บรรยายในปกอัลบั้ม มันก็น่าจะเป็นผลงานที่น่าสนใจชุดหนึ่ง
เพราะ ไม่ใช่แค่เรื่องราวในปกอัลบั้มที่บอกเรื่องราวของเพลงต่าง ๆ เท่านั้น บทเพลงที่อยู่ในอัลบั้มนี้ ก็เขียนมาแบบบรรจงให้ออกมาเป็นเพลงที่ “พร้อม” จะเป็นอย่างในเรื่องราวตามช่วงเวลาต่าง ๆ จริง ๆ ซึ่งในแง่นี้ มันเป็นความสร้างสรรค์อันทะเยอทะยานและน่าสนุกชุดหนึ่ง
อย่างเช่น “My Love Tells Me So” ซึ่งอุปโลกน์ว่าเป็นเพลงของวง Crush ก็ได้ Gordon Kennedy หนึ่งในทีมประพันธ์เพลงหลักของงานชุดนี้มาสวมบทบาท Tommy Levitz นักร้องนำอีกคนหนึ่งของวง พอมาเป็นเพลงจาก -อัลบั้มเดี่ยวชุดแรก- เช่น “Digging for Gold” ก็ออกมาทางคันทรีร็อก ยังมีกลิ่นอายคันทรีอยู่ แต่ออกมาทางร็อกแบบ The Eagles หรือ Poco แล้วดนตรีก็เปลี่ยนไปเรื่อย ๆ ที่บอกว่า Chris หันเข้าหาอาร์แอนด์บีก็เป็นแบบนั้นจริง ๆ Way of the Girl” มีความเป็นฟังกีเบา ๆ และยังมีความเป็นร็อก
เวลาผ่านไปสามสิบกว่าปี เอามาฟังในช่วงหลังนี้ก็รู้สึกว่านี่เป็นผลงานที่น่าสนใจมากชุดหนึ่งในอาชีพของ Garth Brooks เชาสามารถนำเพลงอาร์แอนด์บีหวาน ๆ เช่น “Lost in You” ออกมาได้ดี (และกลายเป็นซิงเกิลฮิตของอัลบั้มนี้) ในขณะที่เขาก็ยังทำเพลงร็อกร่วมสมัยใน “Right Now” ที่เอาเพลง “Get Together” ของ Youngbloods วงร็อกยุคฮาร์ดร็อกไซคีเดลิกมาผสม
หลังจากออกงานในนาม Chris Gaines แล้ว Garth Brooks ออกอัลบั้มมาอีกหนึ่งชุดแล้วอำลาวงการไปนานปี