Alcatrazz เป็นวงดนตรีที่มีศักยภาพในตัวเองเพียงพอที่จะโด่งดังเป็นซูเปอร์สตาร์ได้ไม่ยาก แต่ท้ายที่สุดแล้วพวกเขาก็ไปไม่ถึงไหน

มีชื่อเสียง เป็นที่รู้จัก และบางครั้งจะมีคนโหยหา…

ทุกวันนี้ผลงานสองอัลบั้มแรกของ Alcatrazz ยังได้รับการแซ่ซ้องสาธุการว่ามันเป็นผลงานที่ยอดเยี่ยมเหลือใจ แต่ไม่ค่อยได้รับความนิยมเท่าไหร่ หมายถึงเป็นที่รู้จักแต่ไม่ดังระดับทำยอดขายเพียงพอที่จะเป็นซูเปอร์สตาร์ ไม่มีอัลบั้มไหนที่ขายได้เกิน 5 แสนแผ่นด้วยซ้ำ

ที่มาของวง Alcatrazz เกิดขึ้นปีค.ศ. 1983 เมื่อวง John Fannon นักร้องนำและมือกีตาร์วง New England ลาออกจากวง สมาชิกที่เหลือ คือ Jimmy Waldo มือคีย์บอร์ด Gary Shea มือเบส และ Hirsh Gardner มือกลอง ตัดสินใจที่จะเดินหน้าต่อ

และ มือกีตาร์ที่เข้ามาแทนที่ John Fannon ก็คือ Vinnie Cusano ที่ได้รับคำแนะนำมาจาก Gene Simmons มือเบสลิ้นยาวแห่งวงจูบอสุรกาย

พวกเขาตัดสินใจเปลี่ยนชื่อวงเป็น Warriors และตัดสินใจย้ายจากบอสตัน ถิ่นฐานของวง New England มาสู่ลอสแอนเจลิสซึ่งเป็นถิ่นฐานทำกินของ Vinnie Cusano ซึ่งกำลังทำงานให้กับ KISS ในอัลบั้ม Creatures of the Night

แต่ทั้งสามคนก็ต้องเคว้งคว้าง เพราะ Vinnie ได้รับข้อเสนอให้เข้าร่วมวง KISS อย่างเป็นทางการและร่วมออกทัวร์ Hirsh ตัดสินใจย้ายออกจากลอสแอนเจลิสกลับมาที่บอสตัน แต่Gary กับ Jimmy ตัดสินใจว่าจะอยู่ที่ลอสแอนเจลิส เพราะในขณะนั้น วงดนตรีดนตรีฮาร์ดร็อกและเมทัลในลอสแอนเจลิสกำลังรุ่งโรจน์

Alcatrazz

ในช่วงเวลานั้น Graham Bonnet ต้องออกจาก Michael Schenker Group และเขาก็มองหาโอกาสทางดนตรีใหม่ และ Andy Truman ผู้จัดการของ Graham เป็นคนติดต่อ Gary เพื่อให้ลองมาพูดคุยทำงานร่วมกับ Graham

ทั้งสี่ หมายถึง Jimmy Waldo, Gary Shea, Graham Bonnett และ Andy Truman ได้มานัดพบกันครั้งแรก ในวันที่ 13 มีนาคม ค.ศ. 1983 ณ โรงแรมไฮแอ็ท ในซันเซทบูลิวาร์ด เวสต์ฮอลลิวู้ด ถึงความเป็นไปได้ที่จะทำวงดนตรีร่วมกัน และแน่นอนว่าการพูดคุยเป็นไปอย่างราบรื่น 

ตอนแรก Andy Trueman ผู้จัดการวงวางแผนไว้ว่าจะชักชวน Barrimore Barlow แห่งJethro Tull มาเป็นมือกลองและ Zel Clemson แห่ง Nazareth เป็นมือกีตาร์ แต่ว่าทั้งคู่ก็ไม่สะดวกใจที่จะมาร่วมงาน Barrimore Barlow ตัดสินใจร่วมงานกับ Robert Plant อดีตนักร้องนำวง Led Zeppelin – ซึ่งก็น่าจะคิดถูก เพราะนั่นเป็นระดับตำนาน ส่วน Zel Clemson ตัดสินใจออกทัวร์กับ Robert Palmer

 ระหว่างนั้น ทั้งสามเลยซ้อมดนตรีทำความคุ้นเคยกันไปพลาง แล้ว Gary ก็หลุดขื่อ Alcatrazz ขึ้นมาในตอนนั้น

(พวกเขาตัดสินใจเพิ่มตัว z เข้ามาในชื่อวงอีกหนึ่งตัวอักษรเพื่อป้องกันโดนฟ้องร้องเผื่อว่า Alcatraz จะเป็นเครื่องหมายการค้าหรือว่ามีการจดลิขสิทธิ์ชื่อเอาไว้) 

ด้วยความเป็นวงซูเปอร์กรุ๊ปกลาย ๆ เพราะชื่อเสียงของ Graham Bonnet จาก Rainbow และ Michael Schenker Group สร้างบารมีในวงการฮาร์ดร็อกได้พอตัวอยู่แล้ว ส่วนวง New England ก็พอจะมีเพลงฮิตเป็นที่รู้จักอยู่บ้าง จึงไม่ยากที่จะพวกเขาจะได้เซ็นสัญญากับ Rocshire Records แม้ว่าสมาชิกวงจะยังไม่ครบ

สำหรับมือกลองในตอนแรก คือ Clive Burr จาก Iron Maiden แต่เมื่อ Clive มาร่วมวงได้ประมาณสัปดาห์เดียว แล้วรู้ว่า Alcatrazz จะปักหลักในอเมริกาไม่ใช่อังกฤษบ้านเกิดเขาก็ลาออกไป อีกคนที่เกือบจะได้ร่วมวงก็คือ Aynsley Dunbar จาก Jefferson Airplane ก็เป็นหนึ่งในตัวเลือกที่ดี แต่เจรจาไม่ลงตัว

สุดท้ายหน้าที่มือกลองตกเป็นของ Jan Uvena ผู้มีชื่อเสียงจาก Iron Butterfly ที่เพิ่งออกจากวงของ Alice Cooper มาหมาด ๆ 

แล้วก็มีคนแนะนำมือกีตาร์จากวง Steeler ที่ชื่อ Yngwie J. Malmsteen ให้ Jimmy รู้จัก วงSteeler อาจจะไม่ค่อยประสบความสำเร็จเท่าไหร่ แต่ฝีมือของ Yngwie J. Malmsteen ได้รับการกล่าวขานกันพอสมควรสำหรับเด็กหน้าใหม่ไฟแรง

ในที่สุด Alcatrazz ก็มีสมาชิกครบ และออกอัลบั้มแรก No Parole From Rock ‘N’ Rollช่วงปลายปีค.ศ. 1983 ได้รับความสนใจมากพอสมควร มีเพลงเป็นที่รู้จักหลายเพลงอยู่เหมือนกัน อย่างเช่น “Island In the Sun”, “Hiroshima Mon Amour” และ “Jet to Jet”

 แต่ปัญหาสำคัญที่พวกเขาต้องเผชิญก็คือการไม่ลงรอยกันระหว่าง Yngwie กับGraham ในหนังสือ Relentless: The Memoir ที่ Yngwie เขียน เขาอ้างว่า Graham อิจฉาที่เห็นคนสนใจเสียงกีตาร์ของเขามากกว่าเสียงร้อง เล่าถึงขั้นว่าในวันหนึ่งทั้งคู่ทะเลาะกันรุนแรงหลังเวที Graham ใช้ขาตั้งไมค์ตีท้อง Yngwie ตัว Yngwie เลยต่อย Graham Bonnet กลับ

ส่วนทางฝั่ง Graham เล่าว่าเขาตัดสินใจไล่ Yngwie ออกจากวงเพราะว่าหลังจากเขาเตะสายแจ๊กกีตาร์หลุดโดยบังเอิญทำให้ Yngwie ไม่พอใจและตามมาบีบคอเขาถึงในรถบัสของวง ซึ่งการบีบคอนักร้องถือว่าเป็นการเรื่องอันตรายมากเพราะอาจจะทำให้เขาร้องเพลงไม่ได้

Graham เล่าความหลังเกี่ยวกับ Yngwie ว่า

“เขาไม่ใช่คนร่วมงานยากนักหรอกในตอนแรก แต่ต่อมาเขาก็เริ่มเหลิงเมื่อใครต่อใครพูดกันปากต่อปากว่าเขามหัศจรรย์แค่ไหน…”

“…เมื่อคนอายุ 19 ได้ฟังแต่คนพูดถึงตัวเองว่าเป็นอัจฉริยะ คุณยังทำได้ดีกว่านี้ คุณอาจจะเป็น Jimi Hendrix คนต่อไป เรื่องแบบนี้มันสุมไฟในตัวเขา เร่งเร้าอัตตาให้เติบโตขึ้น…”

 “…แล้วเขาก็ไม่ใช่แค่สมาชิกวงอีกต่อไป เขาต้องการที่จะโดดเด่นบนหนทางของเขา และสุดท้ายเขาก็ทำได้จริง ๆ ถึงแม้ว่าจะไม่ค่อยสวยนักก็ตาม ผมเห็นสิ่งที่เกิดขึ้น…”

Yngwie ออกจากวงหลังจากจบทัวร์ญี่ปุ่น แต่เขาก็ยังอยู่ร่วมกับวงจนกระทั่งจนทัวร์ในอเมริกา และพอทัวร์จบ ทางบริษัท Rocshire Records ก็ปล่อยอัลบั้มบันทึกการแสดงสด Live Sentence ออกมาวางจำหน่าย ซึ่ง Yngwie พยายามต่อต้านไม่ให้ออกวางจำหน่ายเพราะคุณภาพแย่ แต่ว่าไร้ผล

“สมาชิกยุคแรกที่มี Yngwie เป็นยุคที่ยอดเยี่ยม มันเป็นความสดและใหม่กับมือกีตาร์หน้าใหม่ เด็กหนุ่มที่ทุกคนจะรักจนวันตาย ผมคิดถึงวันเก่า ๆ แบบนั้น มันคงจะดีถ้ามีโอกาสได้ทำแบบนั้นอีกครั้ง แต่ผมไม่คิดว่าจะมีการกลับมาทำวงด้วยกันอีกครั้ง” 

Graham Bonnet

ถึงแม้ว่า Alcatrazz จะประสบความสำเร็จพอตัว คือไม่ถึงกับโด่งดังมากมายแต่ก็มีแฟนเพลงเป็นกลุ่มก้อนอยู่เหมือนกัน แต่มีปัญหาเรื่องการเงินมาก Jimmy Waldo กับ Gary Shea กล่าวหา Andy Trueman ว่ายักยอกรายได้จากการแสดงสดและสินค้าที่ระลึกอื่น ๆ จนทางวงมีปัญหาเรื่องการเงิน แถมบริษัท Rocshire Records ก็มีปัญหา ผู้บริหารโดนจับข้อหายักยอกเงินอีกต่างหาก แต่ด้วยบุญเก่าของทางวง ทำให้ Capital Records สนใจเซ็นสัญญากับพวกเขา โดย Gary และJimmy เข้ามาบริหารวงเต็มตัว

ในการมองหามือกีตาร์คนใหม่ที่จะเข้ามาแทนตำแหน่งของ Yngwie J. Malmsteen กลายเป็นปัญหาใหญ่ เพราะในเวลานั้น Yngwie J. Malmsteen เจิดจ้า นิตยสารด้านดนตรีจับตามองในฐานะมือกีตาร์ดาวรุ่ง Jimmy ได้พูดคุยกับ David Rosenthal มือคีย์บอร์ดวงRainbow ก็ได้รับคำแนะนำถึงมือกีตาร์หนุ่มอนาคตไกลที่ชื่อ Steve Vai จากวงของ Frank Zappa

แต่สไตล์การเล่นของ Steve Vai ต่างจากการเล่นของ Yngwie โดยสิ้นเชิง ไม่ว่าใครก็รู้ดี และในการได้พบกันครั้งแรกระหว่าง Steve กับ Jimmy นั้น Steve บอก Jimmy ว่าเขาไม่คิดจะเล่นในสไตล์ของYngwie แต่ Jimmy กลับคิดว่านั่นจะช่วยให้ทางวงดีขึ้น คือฉีกไปอีกทางไม่ย้อนรอยเดิมซึ่งไม่มีทางทำได้อยู่แล้ว

ในตอนนั้น ทางวงได้ออดิชันมือกีตาร์อีกคน คือ Chris Impellitteri และความเห็นของวงก็แบ่งเป็นสองทาง

ทางแรก มีพวกหลายคน คือ Jimmy Waldo, Gary Shea, Jan Uvena  เลือก Steve Vai

ส่วน Graham Bonnet เลือก Chris Impellitteri

Jimmy โน้มน้าวให้ Graham มองเห็นของดีของความแตกต่าง และหลังจากใช้เวลาสองชั่วโมงกับเบียร์สิบแก้วที่บาร์ฮอลิเดย์อินน์ในเบอร์แบงค์  ในที่สุด Jimmy ก็ทำให้ Grahame ยอมรับ Steve เข้าวง ด้วยเหตุผลว่าการหามือกีตาร์ที่เล่นซ้ำรอยเดิมมันไม่ท้าทายเท่ากับการปรับเปลี่ยนดนตรีให้สดใหม่

อัลบั้ม Disturbing The Peace ในปีค.ศ. 1985 ดูแลการผลิตโดย Eddie Kramer ซึ่งเคยทำงานกับวงดังมากมาย แต่น่าเสียดายที่งานไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควร

การทัวร์ต้องลดจากที่กำหนดไว้เดิมเพราะมีปัญหาทางการเงินจนถึงขั้นที่ Jimmy Waldo ต้องไปเจรจากับ Andy Trueman ว่าจะทำอย่างไรให้เป็นอิสระจากเขา เพราะขณะนั้น Andy คือผู้ถือลิขสิทธิ์ชื่อ Alcatrazz และเซ็นสัญญาต่าง ๆ ไว้ในชื่อตัวเองเพียงผู้เดียว

ด้วยความช่วยเหลือจาก Capital ที่ยอมจ่ายเงินให้ Andy เป็นจำนวน 20,000 ดอลลาร์ในที่สุดAlcatrazz ก็เป็นอิสระจาก Andy

ณ เวลานั้น Alcatrazz ถือว่าเป็นวงดนตรีที่มีศักยภาพสูงมาก นักดนตรีแต่ละคนอยู่ในระดับไว้วางใจได้ในแวดวงฮาร์ดร็อก  ไม่น่าแปลกใจที่แคปิตอลสนับสนุนพวกเขา

ปลายปีค.ศ. 1985 Steve Vai ไปปรากฏตัวในฐานะ Jack Butler มือกีตาร์ตัวแทนปิศาจในภาพยนตร์ Crossroad  ได้เครดิตไปพอสมควร และในที่สุด David Lee Roth ก็มาชวนให้เขาไปร่วมงานด้วย

ใครไม่ไปเล่นกับ David Lee Roth ก็บ้าแล้ว!

(แต่มีคนไม่อยากเล่นกับ David เหมือนกัน จากคำให้สัมภาษณ์ของ Billy Sheehan เขาเล่าว่าตอนแรก David Lee Roth ชวน Steve Steven มือกีตาร์ของ Billy Idol มาร่วมวง แต่Steve Steven ไม่อยากร่วมงานกับ David Lee Roth)

“ผมไม่รู้เลยว่าเขากำลังจะออกจากวง…” Graham บอก “…เขาบอกคนอื่นในวงว่า ‘อย่าเพิ่งบอกGraham’ เพราะเขารู้ว่าผมจะหงุดหงิด และแน่นอน ผมเป็นจริง ๆ ผมรู้สึกโกรธมาก…”

“ทุกสิ่งกำลังไปได้ดี แต่แล้ว David Lee Roth ก็มาเห็นเขาเล่น และก็ชวนเขาไปเล่นด้วย แน่นอน ทางนั้นได้เงินดีกว่า เขาจะได้รับเงินค่าจ้างก้อนโต จากนั้นฮิปปีก็กลายเป็นมนุษย์หน้าเงิน Steve เคยเป็นพวกฮิปปี ‘เงินมันไม่สำคัญสำหรับผม’ แต่พอมีงานที่ดีกว่ามารอตรงหน้าก็‘ลาก่อน’”

Steve Vai ลาออกในช่วงปลายปีค.ศ. 1985 และทางวงพยายามที่จะหามือกีตาร์คนใหม่ อย่าง Steve Lynch แต่วง Autograph ที่ขาร่วมงานอยู่ยังไปได้สวย และอีกหลายจนมาลงตัวที่ Danny Johnson มือกีตาร์ที่ฝากฝีมือไว้กับวงดนตรีมากมายหลายคณะ

ถ้าบอกว่าพวกเขาเคยตาถึง ในเรื่องมือกีตาร์ ก็ต้องบอกว่างานนี้ตกม้าตาย แถมโดนม้ากระทืบซ้ำเสียด้วย

เพราะในขณะที่ Yngwie และ Steve มีแนวทางการเล่นที่โดดเด่นมาก Danny กลับเป็นมือกีตาร์ที่เรียบง่าย แม้ว่าเขาจะเป็นมือกีตาร์ที่มีเครดิตติดตัวยาวเหยียด ทั้ง Rick Derringer, Axis, Carmine Appice, Rod Stewart, Alice Cooper แต่ดูเหมือนว่าเครดิตเหล่านั้นไม่สามารถช่วยเขาจากการต้องโดนเปรียบเทียบฝีมือกับ Yngwie และ Steve ได้

และช่วงนั้นเป็นช่วงที่ Alcatrazz ระส่ำระสาย

อย่างแรก ในเรื่องการจัดการ พวกเขาไม่มีผู้จัดการวงเป็นเรื่องเป็นราว Gene Simmons ปิศาจลิ้นยาวแห่งจูบอสุรกาย ยื่นมือมาช่วยในการบริหารจัดการวงเพราะสนิทและช่วยปลุกปั้นมาตั้งแต่สมัยเป็นวง New England แต่ด้วยความที่วง KISS เองก็ต้องใช้เวลาในการทำงานมาก Gene ก็สนใจเรื่องแวดวงภาพยนตร์มากกว่าดนตรีอยู่ในตอนนั้นทำให้ไม่ได้ช่วยอะไรนัก สุดท้ายก็ได้ Wendy Dio ภรรยาของ Ronnie James Dio มาเป็นผู้จัดการวง

ประการต่อมา Capital เห็นว่าบทเพลงของพวกเขายัง “ขาย” ไม่ได้  ก็เลยเสนอแนวทางและวิธีแก้ปัญหาโดยจัดหาคนเขียนเพลงมืออาชีพมาให้ แต่ว่า Graham Bonnet ไม่เห็นด้วยกับเรื่องนี้ เขายืนยันว่า Alcatrazz จะเล่นเพลงที่เขียนเองเท่านั้น

Dangerous Games ออกมาในปีค.ศ. 1986 ประสบความล้มเหลวในทุกกรณี

ความคิดเห็นไม่ลงรอยในวงก็มากขึ้น จนในที่สุด Jimmy Waldo หันไปทำวง Blackthorne กับ Bob Kulick ซึ่งภายหลัง Graham ร่วมวงด้วย แต่เกิดมีปัญหากับ Bob Kulick จนวงแตก

Gary Shea กับ Jan Uvena ร่วมงานกับ  Jonas Hansson ส่วน Danny Johnson ไปทำวง Private Life ทิ้งให้ Alcatrazz เหลือแต่ชื่อให้คนกล่าวขานถึงในฐานะวงซูเปอร์กรุ๊ปที่เป็นทางผ่านให้มือกีตาร์ดังอย่าง Yngwie และ Steve  

ปีค.ศ. 2001 Gary Shea, Jan Uvena และ Jimmy Waldo กลับมาจับมือกันทำวง Alcatrazz อีกรอบ ตอนแรกมีความคิดเพียงแค่จะนำอัลบั้มเก่ามาขายใหม่ โดยมีการทัวร์สั้น ๆ แต่ Yngwie และ Steve Vai มีงานของตัวเองยุ่งเกินกว่าจะกลับมาร่วมงานด้วย Graham ก็ไม่กลับมาร่วมงาน พวกเขาได้ Stig Mathisen มาเป็นมือกีตาร์และ Tommy Field เป็นนักร้องนำออกทัวร์สั้น ๆ แล้วแยกย้ายไป

ทางฝ่าย Graham Bonnet กลับมาทำวง Alcatrazz ในปีค.ศ.2006 โดยใช้ชื่อว่า Alcatrazz Feathering Graham Bonnet มี Howie Simon ที่เคยอยู่วง Talisman เป็นมือกีตาร์Tim Luce เป็นมือเบส และ Glen Sobel อดีต Impellitteri และ Beautiful Creatures เป็นมือกลอง

ซึ่งเรื่องนี้ Jimmy Waldo เห็นว่าชื่อวง Alcatrazz เป็นของเขา จึงฟ้องร้องไม่ให้ใช้ชื่อ Alcatrazz โดยบอกว่าลิขสิทธิ์ชื่อเป็นของทางฝั่งเขา แต่ Grahame ก็ยังเดินหน้าทำวงต่อโดยในปีค.ศ. 2009 Glen Sobel ได้ Dave Dzialak ที่เคยร่วมงานกับ Jeff Scott Soto มาเป็นมือกลองชั่วคราว และในปีค.ศ. 2010 จึงได้ Jeff Bowders เป็นมือกลอง และเปลี่ยนเป็น Bobby Rock ในปีค.ศ. 2011 จนถึง 2014 ที่จำเป็นต้องยุติการใช้ชื่อวงเพราะปัญหาเรื่องชื่อวงกับ Jimmy Waldo

แล้วในที่สุด Jimmy Waldo Gary Shea และ Graham Bonnet ก็กลับมารวมตัวกัน เพื่อจัดคอนเสิร์ตในญี่ปุ่น โดยมี Conrado Pesinato เป็นมือกีตาร์ Mark Benquechea เป็นมือกลอง ซึ่งการแสดงสดครั้งนั้นนำมาออกดีวีดีและอัลบั้มภายใต้ชื่อ Parole Denied – Tokyo 2017

จนกระทั่งกุมภาพันธ์ 2019 จึงมีการประกาศอย่างเป็นทางการว่า Graham Bonnet, Jimmy Waldo, Mark Benquechea, Beth-Ami Heavenstone (มือเบส เคยเล่นกับวงของ Graham Bonnet) และ Joe Stump จะทำงานร่วมกันภายใต้ชื่อ Alcatrazz และจะมีอัลบั้มใหม่ด้วย แต่ปี 2020 Gary Shea มือเบสดั้งเดิมของวงกลับมารับหน้าที่มือเบส และออกอัลบั้ม Born Innocent

แต่ในเดือนธันวาคม 2020 กลับกลายเป็นว่า Graham Bonnet ออกจากวง ด้วยเหตุผลว่ามีปัญหาเรื่องผลประโยชน์ขัดแย้งกัน และทางฝ่าย Graham กล่าวหาว่า อีกฝ่ายไม่ต้องการทำวงดนตรีจริงจัง แค่อยากออกทัวร์หาเงินแล้วก็แยกย้ายไป แต่เขาอยากจะทำวงจริงจัง ทำเพลงทำอัลบั้มต่อ แต่ว่า เอาเข้าจริง ทางฝั่ง Alcatrazz ซึ่งได้ Doogie White มาแทนที่ ทำอัลบั้มใหม่กันออกมาแล้ว ในขณะที่ Graham ซึ่งประกาศว่าเขาจะทำวง Alcatrazz ต่อเช่นกัน โดยได้ Jeff Loomis (อดีตสมาชิกวง Nevermore, Sanctuary) มาเป็นมือกีตาร์ แต่ไม่มีข่าวว่ามีสมาชิกในตำแหน่งอื่นมาร่วมด้วย ยังเงียบกริบ

Discography

  1. No Parole from Rock N’ Roll (Rocshire, 1983) 
  2. Live Sentence (Rocshire, 1984) 
  3. Disturbing the Peace (Capitol, 1985) 
  4. Dangerous Games (Capitol, 1986)
  5. The Best Of Alcatrazz (Capitol, 1998)
  6. Live 83 (Deadline, 2010)
  7. Parole Denied -Tokyo 2017 (Frontiers Record, 2018)
  8. Born Innocent (Silver Lining Music, 2020)
  9. V (Silver Lining Music, 2021)