QUEEN: Love Of My Life

Love Of My Life – เลิฟออฟมายไลฟ์ บทเพลงบัลลาดจากคณะ ควีน อยู่ในอัลบั้ม อะไนต์แอตดิโอเบรา ปีค.ศ. 1975 และเพลงนี้ เฟรดดี เมอร์คิวรี นักร้องนำของควีนเขียนให้กับแฟนสาวของเขาในขณะนั้น แมรี ออสติน (Mary Austin)

Love Of My Life

QUEEN: Love of My Life
from the album A Night at the Opera
Published: Queen Music Ltd.
ReleasedK: 21 November 1975
Recorded: 1975
Studio: Rockfield (Rockfield, Wales)
Length:	3:39
Label: EMI Elektra
Songwriter: Freddie Mercury
Producers: Queen & Roy Thomas Baker

เนื้อเพลง

Love of my life, you've hurt me
You've broken my heart
And now you leave me
Love of my life, can't you see?
Bring it back, bring it back
Don't take it away from me
Because you don't know
What it means to me

Love of my life, don't leave me
You've taken my love (my love)
And now desert me
Love of my life, can't you see?
Bring it back, bring it back
Don't take it away from me
Because you don't know
What it means to me

You will remember
When this is blown over
And everything's all by the way?
When I grow older
I will be there at your side
To remind you how I still love you
(I still love you)

Back, hurry back
Please, bring it back home to me
Because you don't know
What it means to me
Love of my life
Love of my life
(Ooh, ooh)

Love of His Life: Mary Austin

เฟรดดีรู้จักกับแมรีผ่านทาง ไบรอัน เมย์ ก่อนที่เขาจะเข้าร่วมวงควีน ในเวลานั้น ไบรอันทำวงสไมล์ร่วมกับ โรเจอร์ เทย์เลอร์ และ ทิม สเตฟเฟล โดยทิมเป็นเพื่อนกับเฟรดดีเพราะเรียนที่อาลิงอาร์ตคอลเลจเหมือนกัน เฟรดดีก็เลยเป็นเพื่อนกับคนในวงสไมล์ด้วยเพราะชอบดนตรีใกล้เคียงกัน เฟรดดีทำวงซาวร์มิลก์ซี แต่ไม่ประสบความสำเร็จเทียบเท่าสไมล์ที่ได้เซ็นสัญญากับบริษัทเมอร์คิวรีในปีค.ศ. 1969

ในเวลานั้น แมรีอายุ 19 ปี ทำงานเป็นประชาสัมพันธ์ร้านแฟชันแห่งหนึ่งชื่อ บีบา ไบรอันเล่าในหนังสือ Is This the Real Life? The Untold Story of Queen ว่าเขากับเฟรดดีชอบไปส่องสาว ๆ ที่ร้านบีบาเป็นประจำ เป็นร้านที่สาววัยรุ่นมักจะแวะเวียนมาบ่อย เฟรดดีได้พูดคุยและคบหากับแมรีเพียง 5 เดือนก็ย้ายไปอยู่ด้วยกันที่แฟลตใกล้ตลาดเคนซิงตัน โดยแมรีเล่าถึงช่วงเวลานั้นว่า เป็นเหมือนหนุ่มสาวที่กำลังตั้งต้นชีวิตธรรมดาทั่วไป

เฟรดดีเข้าร่วมวงสไมล์ในปีค.ศ. 1970 และไม่กี่เดือนก็เปลี่ยนชื่อวงเป็นควีน ส่วน จอห์น ดีคอน มือเบส เข้าร่วมวงเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 1971 และควีนก็ได้ออกอัลบั้มแรกในปีค.ศ. 1973 และปลายปีนั้นเฟรดดีขอแมรีแต่งงาน

แมรี ออสติน กับ เฟรดดี เมอร์คิวรี

“เขาให้ของขวัญกล่องใหญ่ในวันคริสต์มาส เปิดมาข้างในก็เป็นกล่องอีกกล่องนึง เปิดไปก็เจออีกกล่อง เหมือนเขากำลังเล่นเกมส์อยู่…” แมรีเล่า “…และท้ายสุดฉันก็เจอแหวนหยกในกล่องสุดท้าย ฉันตกใจ ฉันมองมันแล้วพูดไม่ออก ฉันจำได้ว่าตอนนั้นรู้สึกไม่เข้าใจว่ากำลังเกิดอะไรขึ้น มันไม่ใช่อยากที่ฉันคิดมาก่อน ฉันเลยถามเขาว่า จะให้ฉันสวมมันที่มือไหน เขาตอบว่า นิ้วนางข้างซ้าย เพราะ…คุณจะแต่งงานกับผมมั้ย? ฉันตกใจ เพราะไม่ทันตั้งตัว ฉันได้แต่พูดด้วยเสียงกระซิบว่า ใช่ ฉันตกลง”

แต่พวกเขาก็ไม่ได้แต่งงานกัน หลังจากนั้นไม่นาน ควีนเริ่มมีชื่อเสียงมากขึ้น เฟรดดีต้องใช้เวลาไปการออกทัวร์ และทำงานต่าง ๆ แมรีเริ่มรู้สึกถึงบางอย่างที่เปลี่ยนแปลงไป แม้ว่าเฟรดดีปฏิบัติตัวดีกับเธอสม่ำเสมอ เช่นเวลาที่เธอเห็นว่ามีแฟนเพลงรอพบเฟรดดีก็อยากจะปลีกตัวจากไปเพื่อปล่อยให้เขาไปพบปะแฟนเพลง เฟรดดีก็จะรั้งเธอให้อยู่เคียงข้างเขาเสมอ แต่เรื่องการแต่งงานกลายเป็นสิ่งที่ไม่เกิดขึ้น

“นานหลังจากนั้น ฉันไปเจอชุดแต่งงานของเก่าที่ร้านเล็ก ๆ แห่งหนึ่ง แต่เฟรดดีไม่พูดอะไรเกี่ยวกับการแต่งงานอีกเลยหลังจากวันนั้น ฉันเลยหยั่งเชิงไปว่า นี่ได้เวลาที่ฉันจะซื้อชุดนี้แล้วหรือยัง เขาตอบว่ายัง และมันก็ไม่มีการพูดถึงเรื่องนี้อีกเลย”

“ฉันผิดหวัง แต่ก็คิดแล้วว่ามันคงไม่เกิดขึ้น เรื่องราวมันซับซ้อนและบรรยากาศรอบตัวเรามันเปลี่ยนไปเร็วมาก เหมือนกับฉันเห็นข้อความเขียนไว้บนกำแพง แต่เขียนอะไรฉันก็ไม่แน่ใจ ฉันไม่เคยถามเขาเกี่ยวกับเรื่องนั้นอีก แต่คิดว่าเขาคงเริ่มตั้งคำถามตัวเอง เขาคงอยากแต่งงานกับฉันจริง ๆ แต่เขาคงคิดว่าไม่ยุติธรรมสำหรับฉัน” แมรีรำลึกความหลัง

จนกระทั่งวันหนึ่งในปีค.ศ. 1977 เฟรดดีจึงเปิดเผยตัวตนต่อแมรี ก่อนหน้านั้นแมรีเริ่มสงสัยอยู่เหมือนกันว่าเขาจะปันใจให้หญิงอื่น แต่ในที่สุดเฟรดดีก็บอกเธอว่าเขาเป็นไบเซ็กชวล “ฉันไม่เคยลืมช่วงเวลานั้น อาจจะดูไร้เดียงสาไปหน่อยแต่ฉันต้องใช้เวลาพอควรกว่าจะเข้าใจความจริง หลังจากที่เขารู้สึกดีขึ้นที่ได้พูดความจริงออกมา ฉันก็บอกเขาว่า ไม่ใช่นะ คุณไม่ใช่ไบเซ็กชวล คุณเป็นเกย์”

“คนรักของผมทุกคนมักจะถามว่าทำไมพวกเขาถึงแทนที่แมรีไม่ได้ มันเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้เลย เพราะเพื่อนคนเดียวที่ผมมีคือแมรี และผมไม่ต้องการคนอื่น สำหรับผมเธอเป็นภรรยา เราแต่งงานกัน เราเชื่อมั่นในกันและกัน นั่นเพียงพอแล้วสำหรับผม ผมคงรักชายใดแบบที่ผมรักแมรีไม่ได้”

เฟรดดี เมอร์คิวรี

แม้ความสัมพันธ์เชิงชู้สาวจะจบสิ้นไปเมื่อปีค.ศ. 1977 แต่ทั้งคู่ยังเป็นเพื่อนกันอยู่ และเฟรดดีทำเสมือนเธอเป็นภรรยาเขาจริง ๆ ถึงแม้ว่าแมรีจะย้ายออกจากบ้านของเฟรดดี แต่เฟรดดีก็ยังซื้ออพาร์ตเมนต์ที่อยู่ใกล้ ๆ ให้เธออยู่ ไว้วางใจให้เธอได้รับมรดกส่วนใหญ่ของเขา รวมทั้งแมนชันที่พำนักสุดท้ายในชีวิตของเขา และเป็นคนจัดการเรื่องส่วนตัวของเขาทุกอย่างหลังการเสียชีวิต ในขณะที่ จิม ฮูสตัน เพื่อนชายช่วง 7 ปีสุดท้ายในชีวิตเฟรดดีได้เงินจากกองมรดกเขาไป 500,000 ปอนด์

แมรีคือผู้อยู่เคียงข้างเฟรดดีจนวินาทีสุดท้าย (ร่วมกับ จิม ฮูสตัน เพื่อนชายของเฟรดดี) เป็นผู้นำเถ้ากระดูกไปบรรจุในที่ใดที่หนึ่งไม่เปิดเผยตามที่เฟรดดีสั่งเสีย

“เขาไม่ต้องการให้ใครไปขุดเขาขึ้นมาอย่างที่คนมีชื่อเสียงบางคนโดน แฟนเพลงอาจจะลุ่มหลงจนเกินเหตุไป เขาอยากให้ชีวิตหลังความตายของเขาพบความสุขสงบ และมันจะเป็นเช่นนั้น”

แมรีเก็บเถ้าเฟรดดีไว้ในห้องนอนถึงสองปีเพื่อรอให้แน่ใจว่าจะไม่มีคนแอบตามเธอไป เธอถึงได้นำเถ้ากระดูกไปฝังในที่ใดที่หนึ่ง “ฉันต้องไม่ทำให้ใครสงสัยว่าฉันกำลังทำอะไรผิดปรกติไปจากที่ฉันทำทั่วไปทุกวัน ฉันบอกว่าฉันจะไปเสริมความงามอย่างที่ฉันทำประจำ มันหาจังหวะได้ยากจริง ๆ”

“เข้าวันหนึ่ง ฉันแอบออกจากบ้านได้โดยซ่อนโกศเอาไว้ ฉันทำเหมือนทุกวันพวกทีมงานจึงไม่สงสัย เพราะว่าพวกทีมงานอาจจะเอาไปเล่าต่อไป พวกเขาทนเก็บเรื่องนี้ไม่ได้แน่ ทุกวันนี้ไม่มีใครรู้ว่าเถ้าของเขาอยู่ที่ไหนเพราะเป็นความปรารถนาของเขา” 

ปัจจุบัน แมรียังคงพักอาศัยในแมนชันเดิมของเฟรดดี โดยไม่มีการเปลี่ยนแปลงการตกแต่งใดใดหลังเฟรดดีเสียชีวิต

“ทำไมฉันต้องเปลี่ยนแปลงมันล่ะ มันเป็นรสนิยมและความชอบของเขา มันสวยงาน ความเป็นตัวเขายังอยู่ทุกแห่งหน” แมรีอธิบาย

“ถ้าเขาไม่เป็นคนดีและบอกฉันตามตรงในวันนั้น ฉันคงไม่มีชีวิตอยู่แล้ว  ถ้าเขาแอบใช้ชีวิตไบเซ็กชวลโดยไม่บอกฉัน ป่านนี้ฉันคงติดเอดส์และเสียชีวิตไปแล้ว” 

แมรีทำงานในบริษัทดูแลลิขสิทธิเพลงของเฟรดดี และภายหลังได้รับหุ้นด้วย เธอแต่งงานสองครั้ง มีบุตรสองคน

Leave a Reply

Scroll to top
%d bloggers like this: