Bon Scott
Bon Scott – บอน สกอตต์ นักร้องนำวงเอซี/ดีซีเสียชีวิต เมื่อ 19 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1980 ในวัยเพียง 33 ปีเท่านั้น น่าเสียดาย

Bon Scott
บอน สกอตต์ เกิดเมื่อวันที่ 9 กรกฎาคม ค.ศ. 1946 ที่สก็อตแลนด์ แต่ย้ายมาอยู่ออสเตรเลียตั้งแต่ยังเด็ก เขาทำหน้าที่นักร้องนำวงเอซี/ดีซีสืบต่อจาก เดฟ อีวานส์ ในปีค.ศ. 1974 และอยู่กับวงจนเสียชีวิต น่าเสียดายที่เขาจากไปเร็ว
คนส่วนใหญ่ไม่คิดว่าเอซี/ดีซีเปลี่ยนไปมากนักหลังจากบอนเสียชีวิต เพราะมักจะไปติดกับแองกัส ยัง มือกีตาร์ของวงมากกว่า แต่ถ้าลองฟังเอซี/ดีซียุคบอนกับยุค ไบรอัน จอห์นสัน จะเห็นความแตกต่างกันพอสมควร ทั้งเรื่องดนตรีที่กลายเป็นเน้นหนักดิบ และเนื้อเพลงที่เคยมีเรื่องตลกสัปดนสองแง่สามง่ามก็ลดน้อยลงไป เพราะโดยเนื้อแท้ของบอนมีความเป็นฮิปปี้และมีอารมณ์ขันเฮฮาทะลึ่งตึงตังประสาขี้เมา
บอนก็เหมือนเด็กวัยรุ่นจากครอบครัวชนชั้นแรงงานในช่วงเวลานั้น มีปัญหาเข้าออกสถานพินิจบ้าง อยากจะเข้ากองทัพเขาก็ไม่เอาเพราะ “มีปัญหาในเรื่องการปรับตัวเข้ากับสังคม” เขาเลยไปรับงานทั่วไปทั้งเด็กยกของ บาร์เทนเดอร์ หรือแม้แต่ทำงานไปรษณีย์ แต่ที่เขาชอบมากที่สุดคือเป็นนักดนตรี ปีค.ศ. 1966 เขาเป็นมือกลองในวงเดอะสเป็กเตอรส์ (The Spektors) กับ วิล มิลสัน และจอห์น คอลลินส์ แต่ปีต่อมา เดอะสเป็กเตอรส์ก็รวมตัวกับวงวินสตันใช้ชื่อวงใหม่ว่า เดอะวาเลนไทนส์ (The Valentines)
เดอะวาเลนไทนส์มีซิงเกิลออกมาหลายแผ่น ตอนแรกก็ทำท่าจะไปได้สวยแต่ด้วยเหตุว่าทำเพลงออกแนวบับเบิลกัมเน้นความใสแบบวัยรุ่นสาวกรี๊ด พอดนตรีบับเบิลกัมเริ่มเสื่อมความนิยม พวกเขาตกลงกันไม่ได้ว่าจะไปทางไหน แถมด้วยปัญหาเรื่องยาเสพติดจนทำให้ตัดสินใจว่าแยกย้ายไปคนละทางดีกว่า
บอน สกอตต์ทำวงใหม่ ฟราเตอนิตี (Fraternity) คราวนี้ทำท่าจะไปได้สวยกว่าเดอะวาเลนไทนส์เสียอีก ได้ออกอัลบั้มมาสองชุด ไลฟ์สต็อก (1971) กับ เฟลมมิงกาลาห์ (1973) อัลบั้มแรกออกร็อกรากฐานบลูส์ แต่ชุดสองเริ่มไปสู่ไซคีเดลิกและโปรเกรสซีฟร็อก แต่เมื่อประสบปัญหาเปลี่ยนตัวสมาชิกหลายครั้งเพราะต้องการบุกตลาดอังกฤษแต่สมาชิกบางคนต้องการปักหลักอยู่ออสเตรเลีย บางคนไปอยู่กับวงอื่นที่ดังกว่า วงฟราเตอนิตี ซึ่งดูมีอนาคตก็เลยจบลง
บอนกลับมามาออสเตรเลียและเมื่อเขากำลังซ้อมร่วมกับวงเมาต์ลอฟตีแรนเจอรส์ (Mount Lofty Rangers) วันที่ 3 พฤษภาคม ค.ศ. 1974 เขาประสบอุบัติเหตุเมื่อขับมอเตอร์ไซค์ทั้งที่เมาแอ๋ เข้าห้องไอซียูอยู่ในภาวะโคมาถึง 3 วัน วินซ์ เลิฟโกรฟ อดีตเพื่อนร่วมวงเดอะวาเลนไทนส์ซึ่งผันตัวเองมาทำงานจัดคอนเสิร์ตและเป็นตัวแทนศิลปินเลยเสนอให้บอนทำงานติดโปสเตอร์โฆษณาหรืออะไรเล็ก ๆ น้อย ๆ ไปพลาง ๆ ระหว่างที่เขาต้องพักพื้นตัวจากอาการบาดเจ็บ และวินซ์เป็นคนแนะนำให้บอนไปลองทดสอบเป็นนักร้องนำวงเอซี/ดีซี
AC/DC
สมัยนั้นเอซี/ดีซียังออกแนวแกล็มร็อก เป็นวงดังในซิดนีย์แต่กำลังจะเปลี่ยนแนวเพราะเดฟ อีแวนส์นักร้องนำอยากจะทำแกลมร็อกแต่ฝ่ายพี่น้องตระกูลยัง คือ มัลคอล์มและแองกัส อยากหันไปหาฮาร์ดร็อกมากกว่า เมื่อตกลงกันไม่ได้เลยตัดสินใจให้เดฟออกจากวง
และคนที่เป็นตัวกลางระหว่างบอนและเอซีดีซีก็ไม่ใช่คนไกลตัวบอนเท่าไหร่ เพราะจอร์จ พี่ชายของทั้งคู่ซึ่งเคยอยู่วงอีซีบีตส์เคยเขียนเพลงให้กับวงเดอะสเป็กเตอรส์ แต่เมื่อจอร์จโทรศัพท์หาวินซ์เพื่อให้ช่วยหานักร้องนำให้วงแทนเดฟ อีแวนส์ และวินซ์เสนอชื่อบอนให้ จอร์จกลับคิดว่าบอนไม่เหมาะสม เพราะว่าประสบอุบัติเหตุร้ายแรงมาคงออกแสดงสดร่วมกับวงไม่ได้ แถมตอนนั้นบอนอายุ 28 ปีแล้ว ส่วนมัลคอล์มเพิ่งอายุ 20 เท่านั้น เขาเกรงว่าอาจะมีปัญหาช่องว่างระหว่างวัย อยากได้คนอายุ 20 มากกว่า
แต่วินซ์ไม่ยอมแพ้ เมื่อเอซี/ดีซีมาเล่นคอนเสิร์ตที่เพิร์ธเขาพาบอนไปดูวงเล่น และได้พบกับมัลคอล์มและแองกัส ตอนแรกบอนเกรงว่าวงเอซี/ดีซี ดูจะเป็นวงเด็กไร้ประสบการณ์ ขณะที่พี่น้องตระกูลยังก็คิดแบบเดียวกับจอร์จว่าบอนออกจะอายุมากไปหน่อย แต่เมื่อทั้งสองฝ่ายไปลองซ้อมดนตรีเล่นที่บ้านของบรูซ ฮาว ทุกอย่างออกมาดีจนทำให้ลืมเรื่องอายุและบอนกลายเป็นนักร้องนำของเอซี/ดีซีตั้งแต่นั้นมา
อัลบั้มแรก ไฮโวลเทจ (High Voltage) ออกมาในปีค.ศ. 1975 ประสบความสำเร็จพอประมาณคือขึ้นถึงอันดับ 7 ในออสเตรเลีย ขายได้เกินสามแสนแผ่น และในปลายปีค.ศ. 1975 ก็มีอัลบั้มทีเอ็นที (T.N.T) ออกมาอีกอัลบั้ม คราวนี้ขึ้นไปถึงอันดับ 2 ในออสเตรเลียและเริ่มเป็นที่รู้จักในอังกฤษบ้างแล้ว และได้เซ็นสัญญากับแอตแลนติก ซึ่งคัดเลือกเพลงจากสองอัลบั้มแรกมารวมกันในชื่อ ไฮโวลเทจ ออกวางจำหน่ายในเดือนเมษายน ค.ศ. 1976 และได้ออกทัวร์ที่อังกฤษแต่ขณะนั้นเป็นช่วงที่ดนตรีพังก์กำลังเริ่มก่อตัว พวกเขาเลยโดนแปะป้ายว่าเป็นพังก์จากออสเตรเลีย!!!
ถัดจากนั้นคืออัลบั้ม เดอตีดีดส์ดันเดิร์ตชีป (Dirty Deeds Done Dirt Cheap) จากนั้นชื่อเสียงของพวกเขาก็เริ่มติดตลาด อัลบั้ม เลตแดร์บีร็อก (Let There Be Rock) และ เพาเวอร์เรจ (Powerage) ประสบความสำเร็จมากพอควร
ความเปลี่ยนแปลงมาถึงในอัลบั้ม ไฮเวย์ทูเฮล (Highway To Hell) เพราะบริษัทต้องการเจาะตลาดอเมริกาให้สำเร็จ จึงคิดว่าการเปลี่ยนโปรดิวเซอร์จากแฮรี แวนดาและจอร์จ ยัง น่าจะเป็นหนทางที่ดีกว่า ซึ่งเรื่องนี้ทำให้มัลคอล์มและแองกัสรู้สึกไม่ค่อยดีเท่าไหร่ เพราะจอร์จคือพี่ชายของเขาและมีส่วนทำให้วงประสบความสำเร็จ
ตอนแรกแอตแลนติกแนะนำเอ็ดดี เครเมอร์ซึ่งเคยร่วมงานกับจิมี เฮนดริกซ์ เลดเซพพลิน และ คิส มาแล้ว แต่เมื่อมาถึงคริติเรียสตูดิโอในไมอามี ฟลอริดา กลับเกิดปัญหาระหว่างตัวเอ็ดดีกับสมาชิกเอซี/ดีซี มัลคอล์มเล่าภายหลังในนิตยสารกีตาร์ลีเจนส์ว่า เอดดี เครเมอร์เข้ามาแล้วถามว่า บอนร้องเพลงได้เหรอ ทำให้มัลคอล์มรู้สึกไม่ดี “เขาอาจจะเคยทำงานให้ (จิมี) เฮนดริกซ์ แต่เขาไม่ใช่เฮนดริกซ์” เอซี/ดีซีเสียเวลา 3 สัปดาห์ไปกับเอ็ดดีโดยไม่มีอะไรคืบหน้า มัลคอล์มโทรศัพท์หาไมเคิล บราวนิงผู้จัดการวงทันทีให้หาทางเปลี่ยนโปรดิวเซอร์ และไมเคิลก็จัดการเปลี่ยนโปรดิวเซอร์ให้เป็นโรเบิร์ต จอห์น “มัตต์” แลงก์ ซึ่งขณะนั้นมีผลงานฮิตของบูมทาวน์แรตส์ และการเปลี่ยนโปรดิวเซอร์ก็ได้ผล ไฮเวย์ทูเฮล ขึ้นถึงอันดับ 17 ในอเมริกา
วาระสุดท้าย
หลังจากใช้เวลาพักผ่อนในออสเตรเลียช่วงสิ้นปี 1979 สมาชิกเอซี/ดีซีก็มาลอนดอนเพื่อเตรียมทำอัลบั้มใหม่ บอนพักอยู่กับแอนนา บาบะ แฟนสาวชาวญี่ปุ่นที่แฟลตในย่านแอชลีย์เคาต์ วิกตอเรีย ลอนดอน กลางเดือนกุมภาพันธ์ 1980 สมาชิกวงเอซี/ดีซีเริ่มต้นทำเพลงสำหรับอัลบั้มต่อจากไฮเวย์ทูเฮล บอนก็ร่วมทำเพลง “แฮฟอะดริงก์ออนมี” และ “เลตมายเลิฟพุตอินทูยู” แต่วันที่ 19 กุมภาพันธ์ อลิสแตร์ คินเนียร์ พบร่างไร้วิญญาณของบอนนอนอยู่ในรถเรย์โนลด์ไฟฟ์ของเขาเอง
ปีค.ศ. 2005 ริชาร์ด จินแมนสัมภาษณ์คลินตัน วอล์กเกอร์ผู้เขียนหนังสือ ไฮเวย์ทูเฮล: เดอะไลฟ์แอนด์ไทมส์ออฟเอซี/ดีซีลีเจนด์บอน สกอตต์ (Highway to Hell: The Life and Times of AC/DC Legend Bon Scott, 1994) คลินตันอ้างว่าไม่เคยมีใครเคยรู้จักอลิสแตร์ คินเนียร์ก่อนหน้านั้นเลย เหมือนว่าเขาไม่มีตัวตน” ทำให้เกิดข่าวลือในหมู่แฟนเพลงพอสมควรเรื่องฆาตกรรม
แต่นิตยสารและหนังสือพิมพ์หลายฉบับก็สืบหาอลิสแตร์ อย่างเช่นนิตยสารเมทัลแฮมเมอร์ หนังสือพิมพ์เดอะสแตนดาร์ด พอจะประมวลเรื่องราวในคืนนั้นดังนี้
อลิสแตร์ได้พบบอนในคืนวันที่ 18 กุมภาพันธ์ ผ่านทางมากาเรต “ซิลเวอร์” สมิธ แฟนเก่าของบอน คืนนั้นเขาได้รับคำเชิญจากซีนา คาคูลลีผู้จัดการวงดิโอลลีวันส์ให้ไปร่วมงานเปิดตัววงโลนซัมโนมอร์ (วงนี้มีบิลลี ดัฟฟีซึ่งต่อมาตั้งวงเดอะคัลต์เล่นกีตาร์ด้วย) ช่วงนั้นบอนโทรศัพท์หาซิลเวอร์เพื่อชวนมาสังสรรค์กันต่อ แต่ซิลเวอร์เหนื่อยไม่อยากไป เลยแนะนำบอนว่ามีเพื่อนชื่ออลิสแตร์อยากแนะนำให้รู้จักกันและไปสังสรรค์ต่อที่คลับมิวสิกแมชีนกับบอนและอีกหลายคน
อลิสแตร์ยืนยันว่าเขาไม่เห็นบอนใช้ยาเสพติดใดใดทั้งสิ้น ดื่มเหล้าเท่านั้น เมื่อบอนเมาหนักจนคุมสติไม่อยู่เขาจึงขับพาบอนไปส่งบ้านของแอนนา บาบา แฟนสาวของบอน แต่ไม่มีใครอยู่บ้าน และเขาก็ปลุกบอนมาถามอะไรไม่รู้เรื่อง จึงโทรศัพท์หาซิลเวอร์ ซึ่งซิลเวอร์บอกว่างั้นก็ปล่อยให้เขานอนไปเถอะ
อลิสแตร์ขับกลับไปที่แฟลตของเขาที่ถนนโอเวอร์ฮิล ย่ายอีสต์ดัลวิช พยายามหอบหิ้วบอนขึ้นห้อง แต่เคลื่อนย้ายไม่ไหว (เขาเองก็เมาพอสมควร) จึงปลดเข็มขัดนีรภัยและหาผ้าห่มให้ ทิ้งเบอร์โทรและที่อยู่เผื่อบอนตื่นมาจะได้ติดต่อเขาได้ ตอนนั้นคงราวตีสีหรือตีห้า อลิสตแตร์กลับขึ้นไปนอนหลับตื่นมาราวสิบเอ็ดนาฬิกา เขาขอให้เพื่อนร่วมห้อง เลสลีย์ โลดส์ ไปเช็คที่รถ ซึ่งเลสลีย์กลับมาบอกว่าไม่เห็นใครที่รถ เขาจึงนึกว่าบอนตื่นแล้วกลับไปแล้วจึงหลับต่อจนกระทั่ง 17.30 นาฬิกา เขาไปที่รถจึงได้เห็นบอนนอนไม่หายใจในรถเขาในลักษณะผิดปกติ เพราะบอนตัวโตพอสมควร แต่รถเรย์โนลด์ไฟฟ์ของเขาเป็นรถมินิ จึงมีลักษณะพาดตัวบิดผิดจากปกติ เขารีบพาบอนไปโรงพยาบาลคิงส์คอลเลจ แต่ว่าช่วยอะไรไม่ได้แล้ว
หลังจากนั้นสองสามวัน อลิสแตร์ก็ย้ายออกจากแฟลตและไม่ปรากฎตัวอีกเลย
ผลการชันสูตรลงความเห็นว่าเสียชีวิตเพราะ พิษแอลกอฮอล์เฉียบพลัน และลงความเห็นว่าเป็นการเสียชีวิตโดยอุบัติเหตุ มีข่าวลือว่าเขาสำลักอาเจียนตาย (ไม่ได้รับการยืนยันอย่างเป็นทางการ)
ชื่อเสียงหลังจากนั้น
เอซี/ดีซีตั้งชื่ออัลบั้มถัดมาว่า แบ็กอินแบล็ก เพื่อเป็นการรำลึกถึงบอน และเขียนเพลง “เฮลเบล” และ “แบ็กอินแบล็ก” ให้กับบอน
เมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2008 มีการจัดตั้งรูปหล่อบรอนซ์ของบอนที่อ่าว เฟรีเมนเทิลฟิชชิงโบตฮาร์เบอร์
มีเรื่องแปลก ๆ อยู่เรื่องเกี่ยวกับการเสียชีวิตของบอน สกอตต์ คือพีต เวย์แห่งยูเอฟโอ ให้สัมภาษณ์นิตยสารคลาสสิกร็อกฉบับที่ 76 ว่า เขาได้รับโทรศัพท์จากพอล แชปแมนตอนเช้าว่าบอนเสียชีวิตแล้วและต้องการเบอร์โทรศัพท์เพื่อแจ้งข่าวผู้เกี่ยวข้องกับบอน ถ้าอลิสแตร์พบศพบอนตอน 17.30 น. แล้วพอลรู้ล่วงหน้าได้อย่างไร?
ฝ่ายพอล แชปแมนเล่าว่าเพื่อนของบอนคนหนึ่งคือ โจ โบลว์ เป็นกีตาร์เทคนิเชียนของเขาในวงยูเอฟโอ ในคืนวันที่ 18 กุมภาพันธ์ ทั้งคู่ก็ไปสังสรรค์กับบอน แต่บอนแยกตัวไปตอนไหนไม่รู้ เขากับโจกลับมารอบอนที่แฟลตของเขาเอง จนเช้าโจจึงขอตัวกลับ และโทรกลับมาหาเขาอีกทีตอนสิบเอ็ดนาฬิกา บอกว่าบอนเสียชีวิตแล้ว เขาถึงโทรศัพท์หาพีต เวย์เพื่อขอเบอร์โทรศัพท์ติดต่อสมาชิกวงเอซี/ดีซี
ด้วยความสับสนเรื่องเวลา นิตยสารคลาสสิกร็อกติดต่อสถานีตำรวจอีสต์ดัลวิช เพื่อขอรายละเอียด แต่ก็ไม่ได้เรื่องอะไรเพราะคดีนี้ลงความเห็นว่าเสียชีวิตโดยอุบัติเหตุ และเมื่อติดต่อกับทางฝ่ายชันสูตรศพของเซาต์วอร์กเมื่อขอหลักฐานการเสียชีวิตก็ได้รับการปฏิเสธ เพราะจะให้ข้อมูลแก่พ่อแม่ สามีภรรยา ญาติพี่น้อง บุตรหลานเท่านั้น
อลิสแตร์ คินเนียร์ หายตัวไปหลังจากนั้นไม่นาน คลินตัน วอล์กเกอร์ ผู้เขียนหนังสือ ไฮเวย์ทูเฮล: เดอะไลฟ์แอนด์ไทมส์ออฟเอซี/ดีซีลีเจนด์บอน สกอตต์ จึงเชื่อว่าอลิสแตร์น่าจะเป็นนามแฝงของใครสักคนมากกว่ามีตัวตนจริง
มาร์ก พัตเตอร์ฟอร์ด ผู้เขียนหนังสือเกี่ยวกับเอซี/ดีซีเรื่อง ช็อกทูเดอะซิสเต็ม (Shock To The System) คิดว่าอลิสแตร์อาจจะเป็นนักเขียนหรือสื่อมวลชนที่ทำงานเกี่ยวกับดนตรี แต่เปลี่ยนชื่อหลังจากนั้น ตั้งคำถามว่าความจริงแล้วอลิสแตร์เมาขนาดไหน ขับรถกลับได้ แต่ลากบอนขึ้นห้องด้วยไม่ได้ และหลับยาวจนถึงเย็น
เรื่องเหล่านี้คงเป็นปริศนาไปอีกนาน หรือความจริงอาจะไม่มีอะไรซับซ้อนเลยก็ได้