Geezer Butler: มือเบสแบล็กซับบาธ
กีเซอร์ บัตเลอร์ (Geezer Butler) มือเบสผู้ยิ่งใหญ่จากแบล็กซับบาธ (Black Sabbath – ซึ่งปัจจุบันจบสิ้นไปเรียบร้อย ตามคำบอกเล่าของสมาชิกวง) ได้เขียนหนังสือบอกเล่าอัตชีวประวัติของตัวเอง ชื่อ “Into the Void: From Birth to Black Sabbath and Beyond”
ปัจจุบัน กีเซอร์บอกว่าเขาได้เกษียณตัวเองจากวงการดนตรีเรียบร้อยแล้ว ช่วงก่อนโควิดระบาด กีเซอร์ยังออกทัวร์กับวงซูเปอร์กรุ๊ป เดดแลนด์ริชวล (Deadland Ritual) ซึ่งเขาบอกว่ามันต่างไป เพราะ “ผมไม่รู้เลยว่าการเริ่มต้นจากศูนย์นั้นยากเพียงใด โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อคุณเคยชินกับเครื่องบินของคุณเองและพักที่โฟร์ซีซันและริตซ์คาร์ลตัน … แล้วคุณก็กลับมาเล่นที่คลับเล็กๆ และเดินทางด้วยรถบัสคันเดียวกัน ” กีเซอร์อธิบาย “มันไม่เหมาะกับผมเลย”
เขาจะไม่ออกทัวร์อีกแล้ว และปฏิเสธเด็ดขายว่าคงไม่มีอะไรทำในนามแบล็กซับบาธอีกต่อไป
“ผมไม่คิดว่าออสซีจะพร้อมสำหรับเรื่องนี้อีกแล้ว” เขากล่าว
Into the Void เป็นเรื่องราวตลอดชีวิตของเขา ตั้งแต่แรกเกิดในเมืองเบอร์มิงแฮม ประเทศอังกฤษ หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 สู่ความรุ่งโรจน์และตกต่ำของแบล็กซับบาธ เขาเขียนบรรยายช่วงบุกเบิกดนตรีเฮฟวีเมทัล (ก่อนที่โลกนี้จะเรียกมันว่า เฮฟวีเมทัล) เล่าข้อมูลเชิงลึกของเนื้อเพลงที่เขาเขียน และบอกเล่าความขัดแย้งและการคืนดีของสมาชิกวง
“พ่อของผมไม่ค่อยโอเคกับอาชีพนักดนตรีมากนักหรอก จนกระทั่งผมเอาอัลบั้มแรกให้เขาดูจริงๆ ว่าเราทำอะไรอยู่”
กีเซอร์ บัตเลอร์บอกกับนิตยสารโรลลิงสโตน
“เขาคิดว่าผมกำลังทิ้งโอกาสในชีวิตไป เพราะผมเป็นคนเดียวในครอบครัวที่ได้งานในสำนักงาน เขาคิดว่าผมทิ้งทั้งหมดนั้นไปกับความเพ้อฝัน และในที่สุดเมื่อผมกลับบ้านพร้อมอัลบั้มให้เขาดู นั่นคือตอนที่เขาเริ่มเข้าใจ”
หนึ่งในเรื่องราวที่น่าสนใจในหนังสือเล่มนี้คือเรื่องราวการรวมตัวครั้งสุดท้ายของแบล็กซับบาธ เมื่อปีค.ศ. 2011 หนึ่งปีหลัง รอนนี่ เจมส์ ดิโอ เสียชีวิต ในขณะที่ ออสซี ออสบอร์น และ โทนี ไอโอมมี เพิ่งตกลงกันได้เกี่ยวกับคดีฟ้องร้องกันเพื่อแย่งสิทธิ์ชื่อแบล็กซับบาธ (ซึ่งทำให้เรารู้ว่า กีเซอร์ขายสิทธิ์ของเขาให้กับโทนีไปตั้งแต่ปีค.ศ. 1984) เขาบอกว่า เขายังคงได้รับส่วนแบ่งจากลิขสิทธิ์หนึ่งในสี่เหมือนเดิม เพียงแต่เขาจะไม่มีสิทธิ์ทำอะไรในนามแบล็กซับบาธ
ในช่วงที่โทนีมีปัญหากับออสซี เขาต้องเลี่ยงมาทำวงในนาม เฮฟเวนแอนด์เฮล ทั้งที่สมาชิกคือแบล็กซับบาธในยุคที่รอนนีเป็นนักร้องนำ
และเมื่อรอนนีเสียชีวิต โทนีกับกีเซอร์คิดจะทำงานร่วมกันต่อ โดยหานักร้องนำคนใหม่ (ซึ่งอาจจะเป็น ร็อบ ฮัลฟอร์ด ที่เคยมาเป็นนักร้องรับเชิญให้กับพวกเขามาก่อน) แต่ ชารอน ออสบอร์น ติดต่อพวกเขาเพื่อเสนอให้กลับมาทำงานในนามแบล็กซับบาธด้วยสมาชิกดั้งเดิม
สิ่งที่ท่านจะอ่านต่อไปนี้ แปลและเรียบเรียงจากบทสัมภาษณ์ของ พอล รีส เผยแพร่ในเว็บ loudersound.com มีอะไรหลายอย่างที่ทำให้รู้สึกว่าออสซีมันบ้าจริง ๆ ด้วย
Geezer Butler
สำเนียงภาษาของ กีเซอร์ บัตเลอร์ แทบไม่เปลี่ยนเลยตลอด 70 ปีที่ผ่านมา เขาอาจมีบ้านในยูทาห์ สหรัฐอเมริกา ที่ซึ่งเขาอาศัยอยู่กับกลอเรีย ภรรยาชาวอเมริกันของเขาเป็นเวลา 43 ปี แต่สิ่งนั้นไม่อาจพรากความเป็นชนชั้นแรงงานจากเบอร์มิงแฮมไปจากกีเซอร์ได้เลย เห็นได้ชัดว่ารากเหง้ายังคงซึมแทรกในน้ำเสียงหม่น มีจังหวะจะโคนและสร้างความประหลาดใจต่อเนื่อง และมักจบด้วยประโยคเด็ดหรือประชดประชันแบบหน้าตาย

ทุกวันนี้ กีเซอร์ บัตเลอร์ บ่นเรื่องนั้นเรื่องนี้ไปวันวัน เขาไม่ได้ทำอะไรมากนัก ตามที่เขาเล่าให้ฟังก็คือ โดยทั่วไปแล้ว ทุกเช้าเขาจะตื่นนอนพร้อมกับชาสามถ้วย ซึ่งจะต้องเป็นชายอร์คเชียร์โกลด์เสมอ เขามีสุนัขสองตัวไว้พาไปเดินเล่น เขาสูญเสียสุนัขตัวที่แก่ที่สุดไปเมื่อวันก่อน เขามีแมวสามตัว และ ทั้งหมดเป็นสัตว์ที่เขาอุปถัมภ์มาทั้งนั้น ชายผู้เคยขึ้นเวทีร่วมกับ ออซซี ออสบอร์น -นักฆ่าค้างคาวและนักเชือดไก่ชื่อกระฉ่อน- เป็นคนรักสัตว์และนักกิจกรรมเพื่อสิทธิสัตว์ เป็นนักรณรงค์ของ PETA และ Humane Society of the United States ตัวยง
นอกเหนือจากสิ่งเหล่านั้น เขาจะใช้เวลาไปกับการอ่านหนังสือ ส่วนใหญ่จะเป็นพวกสารคดีประวัติศาสตร์ และดูทีมแอสตัน วิลล่าอันเป็นที่รักของเขาทางทีวี กรกฎาคม (ค.ศ. 2023) เขามีอายุ 74 ปี เขาคร่ำครวญถึงความรู้สึกของตัวเองที่ต้องเผชิญความจริงว่าตัวเองอายุเท่าไหร่
“ในช่วง 4 สัปดาห์ที่ผ่านมา ผมมีอาการหูอื้อ” เขาเล่าให้ฟัง “ทำให้ผมหงุดหงิดมาก หูอีกข้างก็ไม่ได้ยินแล้วด้วย”
ถ้าเป็นปกติ เขาจะไม่เปลี่ยนแปลงกิจวัตรประจำวันของเขาด้วยการสัมภาษณ์อย่างในวันนี้ แต่ครั้งนี้จำเป็นต้องทำ เพราะเขามีหนังสือที่ต้องโฆษณา Into the Void ซึ่งก็เหมือนกับตัวเขาซึ่งเป็นผู้เขียน โดยรวมแล้วเป็นเรื่องไร้สาระและมักจะชวนให้หัวเราะออกมาดัง ๆ ด้วยความขบขัน แน่นอนว่าส่วนใหญ่เป็นเรื่องของการเป็นมือเบสที่ยาวนานและเอาแน่เอานอนไม่ได้ของเขากับ แบล็กซับบาธ บทบาทที่เขาเขียนว่า ‘เหมือนเป็นนักแสดงในละครน้ำเน่า’
เป็นเวลาหกปีแล้วที่ กีเซอร์ บัตเลอร์, ออสซี ออสบอร์น และโทนี่ ไอโอมมี่ รูดม่านปิดฉากสุดท้ายของตำนาน แบล็กซับบาธ กีเซอร์ยืนยันว่าจะไม่หันหลังกลับไปทำมันอีกแล้ว มันได้เดินทางมาสุดทางที่แสนสง่างามน่าเกรงขามของพวกเขา
“ตำนานร็อก? นั่นเป็นเรื่องไร้สาระมาก” เขากล่าว “ถ้าผมคิดแบบนั้น ผมจะเริ่มย้อมผมอีกครั้งและซื้อชุดหนังสีดำใส่”
กีเซอร์ บัตเลอร์
เทอเรนซ์ ไมเคิล โจเซฟ บัตเลอร์ (Terence Michael Joseph Butler) เกิดในเมืองแอสตัน เบอร์มิงแฮม เมื่อวันที่ 17 กรกฎาคม พ.ศ. 2492 (ค.ศ. 1949) เป็นลูกคนสุดท้องในบรรดาพี่น้องทั้งหมด 7 คน เป็นชาย 6 คน และหญิง 1 คน เจมส์ พ่อของเขาเป็นวิศวกร และแม่-แมรี บัตเลอร์ เป็นแม่บ้านชาวไอริชผู้เคร่งครัดต่อคาทอลิกผู้ย้ายถิ่นฐานจากดับลินไปเบอร์มิงแฮม พ่อแม่ของเขาเป็นผู้นอบนอบต่อพระเจ้าหมดหัวใจ
ทั้งครอบครัวอัดแน่นอยู่ในบ้านสามห้องนอนที่มีเฉลียง: ลูกชายคนกลางสามคนในห้องนอนห้องหนึ่ง แม่และน้องสาวในอีกห้องหนึ่ง พ่อและเขาแชร์ห้องแคบ ๆ ที่หลังบ้าน พี่ชายคนโตสองคนของเขาออกไปรับราชการในกองทัพ
เช่นเดียวกับคนอื่นนับไม่ถ้วนในยุคนั้น เทอเรนซ์ บัตเลอร์ หลงใหลเดอะบีตเทิลส์ เขาฝ่าอากาศอันหนาวเหน็บในคืนพฤหัสบดีที่ 9 ธันวาคม พ.ศ. 2508 (ค.ศ. 1965) เพื่อดูเดอะบีตเทิลส์เล่นที่เบอร์มิงแฮมโอเดียน แต่ไม่ได้ยินเสียงวงโปรดเลย มีแต่เสียงกรีดร้องของเด็กเบอร์มิงแฮมประมาณสอง-สามพันคน
เขาเริ่มทำเพลงคัฟเวอร์ของเดอะบีตเทิลส์ โรลลิงสโตนส์ ตอนเรียนมัธยม ตั้งชื่อวงว่า เดอะรูนส์ (The Runes) ถัดจากนั้นก็เป็นวง แรร์บรีด (Rare Breed) โดยที่แต่งหน้าเหมือนเป็นวันฮัลโลวีน และใช้แป้งฝุ่นแทนละอองหมอกจากดรายไอซ์เพื่อเสริมการแสดงบนเวทีอันวิจิตรบรรจงตามผับระดับรอง ๆ ในเมือง
ในตอนนั้น กีเซอร์เล่นริธึ่มกีตาร์ “ฮอฟเนอร์โคโลรามาสีแดงสวยงาม” เขาเปลี่ยนมาเล่นเบสหลังจากเห็นวงครีมเล่นที่คลับมาเธอรส์ ในเบอร์มิงแฮม แล้วค้นพบว่าตัวเองต้องมนต์สะกดของ แจ็ก บรูซ มือเบสของครีม
แล้วแรร์บรีดก็ได้นักร้องคนใหม่, นักร้องท้องถิ่นผู้โพสต์โฆษณาเล็กๆ ที่ร้านเครื่องดนตรี โจนส์แอนด์ครอสแลนด์ว่า “ออสซี ซิก ต้องการเล่นดนตรี นักร้องที่มีพีเอเป็นของตัวเอง”

ไม่นานนัก กีเซอร์ บัตเลอร์ และ จอห์น ออสบอร์น ก็ออกจากวงแรร์บรีดไปเข้าร่วมวง โพลกาทัลก์บลูส์ (Polka Tulk Blues) ร่วมกับ โทนี ไอโอมมี มือกีตาร์ซึ่งแก่กว่าพวกเขาหนึ่งปีและเป็นคนที่ชอบแกล้งออซซีที่โรงเรียนพรินซ์อัลเบิร์ต และเพื่อนมือกลองเขา บิล วอร์ด ผู้ไร้เดียงสานิสัยน่ารัก
พวกเขาทั้งสี่ช่วยกันสร้างวงดนตรีฮาร์ดบลูส์ขึ้นมาอีกหนึ่งคณะ นั่นคือ เอิร์ธ (Earth) ในเวลานั้น กีเซอร์กำลังหัดเรียนรู้งานเป็นนักบัญชี แต่เขาก็ต้องล้มเลิกความคิดนั้นไปเมื่อวงเอิร์ธได้เล่นเป็นวงหลักที่สตาร์คลับในฮัมบูร์ก ช่วงฤดูร้อนปี 1969 ซึ่งเป็นสถานที่เดียวกับที่เดอะบีตเทิลส์เริ่มต้นอาชีพการงาน พวกเขาต้องเล่นรอบละ 45 นาที เป็นจำนวน 7 รอบต่อวัน พวกเขาใช้สิ่งนั้นเป็นการฝึกฝนทำเพลงไปในตัว กีเซอร์เริ่มเขียนเนื้อร้องควบคู่ไปกับการคิดท่อนริฟฟ์กีตาร์ที่แข็งแกร่งหนักหน่วงของโทนี
เมื่อกลับบ้านเกิด พวกเขาทิ้งชื่อเอิร์ธ เพื่อเป็นการเริ่มต้นสำหรับบทเพลงของพวกเขา ซึ่งแต่ละเพลงก็คือจุดตั้งต้นของดนตรีที่หนักหน่วงและทำลายล้างในเวลาต่อมา พวกเขาก้าวสู่เวทีเพื่อสร้างความบันเทิงในนาม แบล็กซับบาธ เป็นครั้งแรกในคืนวันเสาร์วันที่ 30 สิงหาคม พ.ศ. 2512 (ค.ศ. 1969) ที่แบงค์แลนด์ยูธคลับ ในเวิร์กกิงตัน
พอล: ความทรงจำที่ชัดเจนที่สุดในวัยเด็กคืออะไร?
กีเซอร์: ตอนผมยังเด็ก คืนหนึ่งมีลูกกลมประหลาดปรากฏขึ้นตอนผมอยู่บนเตียง มันหมุนต่อหน้าต่อตาผม และผมเห็นบางสิ่งเกิดขึ้นข้างในนั้น มีผู้ชายคนหนึ่งอยู่บนเวที เวทีเดียวที่ผมเคยเห็นในตอนนั้นคือ เวทีโรงเรียนสำหรับการแสดงการประสูติของพระเยซู เขามีผมยาวสีบลอนด์และสวมรองเท้าบูทสีเงิน เขากำลังเล่นเครื่องดนตรี เราไม่มีทีวี ผมเลยไม่รู้ว่ากีตาร์หน้าตาเป็นอย่างไร มันทำให้ผมรู้สึกกลัว ๆ อยู่เหมือนกัน ผมเคยได้ยินเกี่ยวกับแบนชีมามากแล้ว และผมก็คิดว่ามันคือแบนชี เมื่อบอกพ่อแม่เกี่ยวกับเรื่องนี้ พวกเขาบอกว่าผมฝันร้าย มันไม่ใช่ฝัน มันเป็นเรื่องจริง มันเหมือนฝัน แต่ผมตื่นอยู่
พอล: ดูเหมือนว่าบ้านของคุณจะเป็นบ้านที่มีเสียงดังและวุ่นวาย?
กีเซอร์: ก็ไม่ขนาดนั้น เพราะคนอื่นทำงานเกือบตลอดเวลา ทันทีที่พี่ชายของผมกลับมาบ้าน พวกเขาจะทานอาหารเย็นแล้วไปอ้วกแตกที่ผับ ปู่ของผมเป็นคนติดเหล้าและทำให้ชีวิตพ่อผมเละเทะไปหมด ปู่ทิ้งบ้านไปเมื่อพ่ออายุแค่สิบห้าปี วันหนึ่งผมกลับมาบ้านพร้อมเชนดีหนึ่งกระป๋อง เขาก็เตือนสติผม บอกผมว่าโตไปจะเป็นคนติดเหล้า ก็ไม่ได้ผิดจากที่เขาพูดไปมากนัก
พอล: คุณคิดว่าคุณได้รับลักษณะนิสัยอะไรมาจากพ่อแม่ของคุณ?
กีเซอร์: ความอยากรู้อยากเห็น ผมมีความอยากรู้มาก ชอบเรียนรู้เกี่ยวกับประวัติศาสตร์และภูมิศาสตร์ ความรักสัตว์ของผมก็ด้วย เรามีสัตว์อยู่ในบ้านเสมอ ผมมีสุนัขตัวแรกตอนอายุเจ็ดขวบ ผมเคยเล่นฟุตบอลกับมันในสนาม เพราะมีพวกเราเจ็ดคน ผมจึงได้กินแต่เนื้อที่เหลือเพียงเล็กน้อยสำหรับมื้อค่ำ มันมักจะถูกเผาจนกรอบ คืนหนึ่งมันดันไม่สุก พอผมกรีดมันออกก็มีเลือดไหลออกมา นั่นคือปี 1957 จากนั้นผมก็ไม่แตะเนื้ออีกเลย
ผมไม่เคยได้ยินคำว่า ‘มังสวิรัติ’ จนกระทั่งปี 1969 ตอนเราเล่นที่สตาร์-คลับ และไปที่ร้านอาหารจีนฝั่งตรงข้ามถนน คนอื่นกำลังกินข้าวกับไก่อยู่ ผมเลยขอให้บริกรเอาแต่ข้าวมาให้ เขากล่าวว่า “อา…คุณเป็นมังสวิรัติ” ก่อนหน้านั้นผมไม่เคยมีเงินไปร้านอาหารหรือร้านกาแฟเลย สิ่งที่เราทำได้เต็มที่ก็คือไปชิปปี้ (ร้านขายปลากับมันฝรั่งทอด) ผมมารู้ทีหลังว่าเขาทอดมันฝรั่งในน้ำมันเดียวกับที่ใช้ทอดปลา ตอนนี้ผมเลยไม่กินมันฝรั่งทอดแล้ว
พอล: การเกิดในครอบครัวไอริช-คาทอลิกปลูกฝังอะไรในตัวคุณอีกบ้าง?
กีเซอร์: อันดับหนึ่ง: ศาสนา พ่อกับแม่ของผมเป็นคาทอลิกที่เคร่งครัดมาก ผมไม่เคยแม้แต่จะฝันว่าพลาดพิธีมิสซา การอวยพร หรือการสารภาพบาป บ้านเต็มไปด้วยรูปภาพของพระเยซูและมารีย์และไม้กางเขน พ่อของผมเข้านอนตอนทุ่มครึ่งทุกคืน เขามักจะกล่าวคำอธิษฐานก่อนเข้านอนเสมอ เพราะเราอยู่ห้องเดียวกัน ผมจึงต้องคุกเข่าเคียงข้างเขาข้างเตียง ผมกลายเป็นคนบ้าศาสนา เงินค่าขนมทุกบาททุกสตางค์ที่ผมได้รับ จะใช้ไปกับสายประคำ ไม้กางเขน และหนังสือสวดมนต์ ผมชอบเรียนภาษาละติน…
พอล: แต่คุณกลับหันหลังให้ตอนเข้าสู่วัยรุ่นตอนปลาย ทำไม?
กีเซอร์: เป็นช่วงที่ผมเริ่มไว้ผมยาว มีแม่ชีท่านหนึ่งจะหงุดหงิดใส่ผมทุกครั้งที่ไปมิสซา ผมมักจะไปสายและไม่มีที่ให้นั่ง เธอจะตรงมาหาผมและพูดว่า: “สวัสดีค่ะ คุณผู้หญิง คุณต้องการที่นั่งไหม” จากนั้นเธอจะขอให้ผู้ชายยืนขึ้นเพื่อให้เด็กหญิงตัวเล็ก ๆ เข้ามา วันหนึ่งฉันหันกลับมา ชูสองนิ้ว (ตัว V) ให้เธอและไม่กลับไปอีก
พอล: คุณหยิบเครื่องดนตรีขึ้นมาเล่นครั้งแรกเมื่อไหร่?
กีเซอร์: ตอนเรียนมัธยม มีเด็กคนหนึ่งเอากีตาร์โปร่งมา มันมีแค่สองสาย และเขาถามว่ามีใครต้องการซื้อมันไหม เขาอยากได้ 10 ชิลลิง (ค่าเงินเก่าก่อนเปลี่ยนระบบในปีค.ศ. 1971ประมาณ 50 เพนนี) พี่ชายผมให้เงินผม ตอนนั้นเดอะบีตเทิลส์ดัง ผมหัดเล่นเมโลดี้ไลน์จากเพลงของพวกเขา แต่เล่นคอร์ดไม่ได้เพราะมีสายไม่พอ
แล้วพี่ชายอีกคนให้ 8 ปอนด์เพื่อไปซื้อกีตาร์ใหม่ ผมซื้อหนังสือ Play In A Day ของ เบิร์ต วีดอน และเริ่มหัดเล่นคอร์ดทั้งหมด การได้ดูเดอะบีตเทิลส์เป็นวันที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิตของผมจนถึงตอนนี้ สมาชิกวงมูดีบลูส์คนหนึ่งอาศัยอยู่ถนนเดียวกับผม เราจะเดินผ่านบ้านของเขาและฟังเขาซ้อม จากนั้นผมได้ดูวงครีมเล่นที่คลับมาเธอรส์ ผมไม่อยากจะเชื่อสายตาเลยว่า แจ็ก บรูซกำลังทำอะไรอยู่ เล่นเบสและเติมเต็มจังหวะทั้งหมด นั่นคือสิ่งที่ผมยึดเป็นต้นแบบ
พอล: ดูเหมือนว่า แรร์บรีด จะเป็นวงดนตรีที่น่าสนใจ
กีเซอร์: ใช่แล้ว เราบ้ามากจนไม่เคยได้เล่นที่เดิมซ้ำสอง บางครั้งเราก็ต้องเปลี่ยนชื่อเป็น เดอะฟิวเจอร์ (The Future) เพื่อที่เราจะได้เล่นดนตรี มีอยู่ที่หนึ่งมีผ้าเช็ดตัวสีขาวในห้องน้ำ ผมแต่งหน้าเต็มที่ในตอนนั้น และผมก็ใช้ผ้าขนหนูผืนหนึ่งเช็ดออก ผู้จัดการก็ว๊ากใส่เรา เขาไม่ได้สนใจดนตรี แค่ผมทำผ้าขนหนูของเขาเปื้อน! ถ้าไม่มีดนตรี ผมคงลงเอยด้วยการฆ่าตัวตาย หรือไม่ก็ล้างรถเพื่อหาเลี้ยงชีพ ผมมองไม่เห็นอนาคตอื่นสำหรับตัวเองนอกจากการเล่นดนตรี
พอล: ความประทับใจแรกของคุณที่มีต่อคนที่เขียนโฆษณา: “ออสซี ซิก ต้องการเล่นดนตรี” คืออะไร?
กีเซอร์: ว่าเขาเป็นคนบ้าเต็มตัว เมื่อเขามาที่บ้านของเราครั้งแรก พี่ชายคนหนึ่งของผมได้ยินเสียงเคาะประตู พี่ชายผมเข้ามาในห้องด้านหน้าและบอกผมว่า: “มีบางอย่างรอน้องอยู่ที่ประตู” เมื่อผมถามเขาว่า ‘บางสิ่งบางอย่าง’ หมายถึงอะไร เขาตอบว่า “ต้องไปดูเอง” ผมเปิดประตู และนั่นคือออสซี่ เขามีทรงผมที่ยาวกว่าสกินเฮดเล็กน้อย เขาสวมชุดทำงานของช่างทำเครื่องมือของพ่อ เขามีแปรงกวาดปล่องไฟพาดบ่า ไม่มีรองเท้า แต่เขาถือรองเท้าข้างเดียวกับสายจูงสุนัข ฝนยังตกพรำ ผมได้แต่หัวเราะ จากนั้นผมก็พบว่าเขาเพิ่งจะออกจากคุกมาหมาด ๆ เขาโดนจำคุกที่เรือนจำวินสันกรีนข้อหาลักทรัพย์ อย่างที่บอกไป มันบ้า
พอล: ในหนังสือของคุณ คุณเขียนถึงการเรียนรู้ว่า ออสซี “สามารถถ่ายอุจจาระได้ทุกครั้งที่ต้องการ” คุณช่วยอธิบายให้ชัด ๆ หน่อยได้มั้ย
กีเซอร์: คอนเสิร์ตแรกของเรากับออสซี ตอนเป็นแรร์บรีด ทีมหาวิทยาลัยแอสตัน เราเจอปัญหา คนที่จ้างเราเล่นในคืนนั้นไม่ยอมจ่ายเงินให้เรา แต่สุดท้าย เขาอาจให้เงินเราสองสามเหรียญมั้ง ตอนที่เรากำลังกลับ เราเห็นรถจากัวร์ของเขาจอดอยู่นอกประตูหน้า ออสซีปีนขึ้นไปถ่ายอุจาระบนฝากระโปรง จากนั้นเราก็วิ่งหนี
พอล: ที่คุณเขียนเกี่ยวกับ โทนี ไอออมมี ตอนเด็กในหนังสือ เขาดูน่ากลัว
กีเซอร์: ในสมัยนั้น โทนี่ไม่เคยหลีกหนีจากการต่อสู้ แน่นอน หากมีใครล้ำเส้น เขาจะทำให้พวกเขารู้ มันจำเป็น. คุณมีไอ้บ้าสี่ตัวนี้จากแอสตัน และเราต้องการผู้นำ เราทุกคนมองไปที่โทนี่ เขาเป็นคนที่เป็นตัวแทนของพวกเราได้ เขาสั่งการ อะไรก็ตามที่เขาอยากทำ นั่นคือสิ่งที่เราทำ ผมเคยเห็นเขาในการต่อสู้สองสามครั้ง และผมก็ไม่ได้ตั้งใจจะเข้าข้างเขา ถ้าคุณคุยกับโทนี่ เขาก็โอเค เขาน่าจะเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของผมในตอนนี้จากวงนี้ เรายังคงติดต่อและเจอกันเป็นครั้งคราว
พอล: ในขณะที่ บิล วอร์ด ผู้น่าสงสารถูกมองว่าในชีวิตเขาเป็นเหยื่อตลอดกาล
กีเซอร์: บิลเป็นคนง่ายๆ ทุกคนที่ได้พบกับบิลต่างรู้สึกว่าเขาเป็นคนน่ารักและใจดี และนั่นคือสิ่งที่เขาเป็น เขาไม่เคยพูดไม่ดีเกี่ยวกับใคร เขาเป็นคนอ่อนโยน และเนื่องจากพวกเราทั้งสามคนต่างก็เป็นนักเลงหัวไม้ บิลเป็นสุภาพบุรุษที่จะต้องรับมือกับพวกเราตลอดเวลา บิลจะรับมันไว้ และเขาก็คงชอบมันบ้างละมั้ง สำหรับผมแล้ว มันเป็นเรื่องแปลกทีเดียว ที่ผู้ชายสี่คนที่อาศัยอยู่ใกล้กัน ต่างก็ชอบเพลงประเภทเดียวกันและดันว่างพร้อมกัน มันเหมือนกับว่าโดนกำหนดไว้ก่อนแล้ว มันเหมือนนิยายมากกว่า
ขอแทรก นอกจากที่จะแปลด้านบนเสียหน่อย ในตอนแรก ออสซีและโทนีปฎิเสธที่จะทำงานร่วมกัน เพราะออสซีกับโทนีเรียนโรงเรียนเดียวกัน และทั้งคู่ไม่ถูกกัน จากหนังสือของกีเซอร์บอกเล่าว่าโทนีเป็นฝ่ายกลั่นแกล้งออสซี ดังนั้น ออสซีเลยเลือกที่ทำวงดนตรีแรร์บรีดกับกีเซอร์ ไม่สนใจจะทำงานกับโทนี แต่กีเซอร์ก็อยากได้ บิล วอร์ด มาเป็นมือกลอง ซึ่งบิลตั้งข้อแม้ว่าจะเข้าร่วมวงก็ได้ แต่ต้องมีโทนีด้วย จึงกลายเป็นวงเอิร์ธในเวลาต่อมา
ในเดือนตุลาคม พ.ศ. 2512 (ค.ศ. 1969) สมาชิกทั้งสี่คนของแบล็กซับบาธเข้าสตูดิโอ รีเจนต์ซาวด์ ในลอนดอนกับ รอดเจอร์ เบน ซึ่งเป็นทีมงานโปรดิวเซอร์ของเวอทิโก พวกเขาใช้เวลาเพียงสองวันในการทำอัลบั้มแรก วันแรกบันทึกเจ็ดเพลงลงเทป วันที่สองใช้มิกซ์เพลง มันเป็นช่วงเวลาที่พวกเขาจะเปลี่ยนแปลงโลกในช่วงหัวเลี่ยวหัวต่อ อัลบั้ม แบล็กซับบาธนั้นถูกประณามหรือรังเกียจ แต่ก็อยู่ในบิลบอร์ดฮอต 200 ในสหรัฐอเมริกาเป็นปี ที่สำคัญกว่านั้น จากเสียงแรกจนถึงเสียงสุดท้าย ในเวลาเพียง 38 นาที 8 วินาที แบล็กซับบาธได้ให้กำเนิดดนตรีเมทัลอันกึกก้องกัมปนาทกระหึ่มโลก
เจ็ดเดือนต่อมา พวกเขากลับมารีเจนต์ซาวด์อีกครั้งพร้อมกับ ร็อดเจอร์ เบน เพื่อบันทึกเสียงอัลบั้มถัดมา พารานอยด์ ใช้เวลาทั้งหมดห้าวันจึงจะเสร็จสมบูรณ์ บทเพลงสั้น ๆ เพียง 3 นาที ที่โทนีร่ายริฟฟ์เพลง “พารานอยด์” ในขณะที่คนอื่น ๆ พักกลางวัน เนื้อเพลงของกีเซอร์บรรยายถึงภาวะซึมเศร้าซึ่งเขาเป็นโรคนี้มานานหลายปีแต่ยังไม่ได้รับการวินิจฉัยในเวลานั้น พารานอยด์ มียอดขาย 4 ล้านชุดในอเมริกา ทำให้แบล็กซับบาธกลายเป็นซูเปอร์สตาร์อย่างไม่น่าเชื่อ
พอล: แบล็กซับบาธเป็นผลมาจากสภาพแวดล้อมของคุณในเบอร์มิงแฮมใช่ไหม ฟังดูเหมือนเสียงเครื่องจักรอุตสาหกรรมขนาดใหญ่
กีเซอร์: ฝั่งตรงข้ามถนนบ้านเราคือโรงงาน ไซโคลเกียร์ และร้านซ่อมรถบรรทุก คุณจะได้ยินเสียงกึกก้องตลอดทั้งวัน โทนี่ทำงานในโรงงาน ออสซีอยู่โรงฆ่าสัตว์ บิลเป็นเพื่อนของคนขับรถบรรทุก เพลงสะท้อนภูมิหลังชนชั้นแรงงานของเรา ผมอยากให้เนื้อเพลงสะท้อนถึงสิ่งนั้นด้วย ชีวิตไม่ใช่แค่คู่รักไร้เดียงสาและไร้สาระแบบนั้น อัลบั้ม แบล็กซับบาธ บันทึกเหมือนกับเราแสดงสด พวกเราสี่คนเล่นด้วยกัน ครั้งแรกที่ผมได้ยินเป็นเพลงที่บ้านจากเครื่องเล่นแผ่นเสียง Dansette ของเรา ผมคิดว่ามันดีมาก
พอล: คุณจำอะไรได้เป็นอย่างแรกจากช่วงทำ พารานอยด์?
กีเซอร์: พระเจ้า. มันคือปี 1970 ผมจำได้ว่าเราไปเวลส์ครั้งแรกพร้อมกับ ร็อดเจอร์ เบน เพราะเขาอยากฟังเพลงของเรา เราพักกันที่ร็อกฟิลด์สตูดิโอส์ ซึ่งเป็นเพียงตึกที่อยู่ในฟาร์ม เราติดตั้งพื้นที่ซ้อมในยุ้งฉางเก่า เมื่อเราเริ่มบรรเลง “วอร์พิกส์” หลังคาทั้งหลังถล่มลงมาเพราะน้ำหนักของมัน ผมเขียนเนื้อเพลง “พารานอยด์” เร็วมาก และผมก็มีชื่อเพลงไว้แล้ว ออสซีถามว่า: paranoid – “หวาดระแวง” หมายความว่าอย่างไร ผมบอกเขาว่า: “รู้มั้ย เหมือนตอนคุณเสพเฮโรอีน และคุณคิดว่ากำลังจะมีสิ่งเลวร้ายเกิดขึ้น? นั่นแหละ”
พอล: ในหนังสือของคุณ คุณเขียนอย่างตรงไปตรงมาเกี่ยวกับการต่อสู้กับโรคซึมเศร้า – การที่คุณโตขึ้นแล้วทำร้ายตัวเองและคิดฆ่าตัวตาย ในปี 1970 คุณขอความช่วยเหลือจากใครบ้าง
กีเซอร์: ไม่มีใครหรือที่ไหนให้พึ่งพา ผมไปหาหมอเกี่ยวกับเรื่องนี้ และเขาบอกให้ผมไปดื่มสักแก้วสองแก้ว หรือไม่ก็พาสุนัขไปเดินเล่น แล้วผมจะดีขึ้น สมัยนั้นไม่มีใครพูดถึงอะไรแบบโรคซึมเศร้า เมื่อใดก็ตามที่ผมรู้สึกมืดมนดำดิ่ง คนอื่นมักจะคิดว่าผมกำลังอารมณ์ไม่ดี พวกเขาจะประมาณว่า: “อา มาเลยเจ้าอารมณ์แปรปรวน เจ้าเป็นอะไรไป”
ผมไม่ได้รับการวินิจฉัยอย่างถูกต้องจนกระทั่งปี 1990 ผมไปรักษาในเซนต์หลุยส์ตอนที่ใกล้จะพังทลายแล้ว ผมไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นกับผม ผมอธิบายเรื่องนี้ให้หมอที่นั่นฟัง และเขาบอกผมว่าผมเป็นโรคซึมเศร้าแน่นอน เขาให้ผมกินยาโพรแซกซึ่งเพิ่งออกมา และผมก็กินยาพวกนี้เป็นเวลาหกสัปดาห์ ตอนแรกผมไม่คิดว่าพวกมันจะช่วยอะไรได้ แต่เมื่อผ่านไปหกสัปดาห์ ผมเริ่มรู้สึกถึงความสุขแบบที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน ผมใช้ยาหลายอย่างตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ไม่ใช่ตลอดเวลา บางครั้งผมรู้สึกได้ว่าเริ่มมีอะไรบางอย่างเกิดขึ้นและผมจะกินยาสองสามเม็ด
พอล: “พารานอย” เป็นซิงเกิลฮิตติดท็อปไฟว์ในสหราชอาณาจักร คุณแสดงในท็อบออฟเดอะป็อปที่นำเสนอโดย จิมมี ซาวิล
กีเซอร์: เขามาหาตอนที่เราอยู่ในรายการและพูดว่า: “ผมเห็นซิงเกิ้ลของคุณกำลังพุ่งขึ้นชาร์ต” นั่นทำให้ผมประหลาดใจที่คำพูดนี้มาจากดีเจของบีบีซี ผมอ่านบทความหนึ่งเกี่ยวกับเขาใน นิวส์ออฟเดอะเวิร์ล หรือเดอะพีเพิล ด้วย มันเงียบสนิทในสัปดาห์ถัดมา แต่เห็นได้ชัดว่าถึงอย่างนั้นก็มีบางคนรู้ว่าเขากำลังทำอะไรอยู่ ผมคิดว่าเขาเป็นคนแปลกๆ สักหน่อย
พอล: จากนั้น แบล็กซับบาธก็ได้เล่นงาน แคลิฟอร์เนียแจม ต่อหน้าผู้ชม 200,000 คนในเดือนเมษายน 1974 ใช้เวลาไม่ถึงสี่ปี มันไปเร็วขนาดนั้นได้อย่างไร?
กีเซอร์: เพราะเราไม่เคยหยุด เราออกทัวร์ครั้งแล้วครั้งเล่า จากนั้นเราจะกลับบ้านและมีอัลบั้มที่ต้องทำทันที เราไม่เคยมีเวลาคิดเรื่องอื่น เมื่อเราไปแคลิฟอร์เนียแจม เราก็รู้สึกกระปรี้กระเปร่าจนสมองไม่คิดอะไรมาก เราไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเรามีคิวแสดง ทีมงานของเราคนหนึ่งโทรมาบอกเราเกี่ยวกับเรื่องนี้สักประมาณหนึ่งสัปดาห์ก่อนหน้านั้นเอง
พอล: โดยส่วนตัวแล้วอะไรคือจุดสูงสุดที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในช่วงเวลานั้น?
กีเซอร์: เมื่ออัลบั้มพารานอยด์ขึ้นอันดับหนึ่ง เราอยู่ในเบลเยียม ตอนนั้นมันเพิ่งออกมาไม่นาน ผู้จัดการทัวร์ก็มาหาเราแล้วพูดว่า “เดาสิ” ความสุขที่สุดที่ผมรู้สึกได้ก็คือตอนที่เราทำอัลบั้ม ซับบาธบลัดดีซับบาธ ในปี 1973 เราทุกคนมีเงิน เรากำลังออกทัวร์ที่ขายตั๋วหมดเกลี้ยง เราสร้างชื่อเสียงทั่วโลก ทุกอย่างเป็นไปได้ด้วยดี และเราชอบการทำงานอัลบั้มนั้น เราต้องการพัฒนาตัวเองทางดนตรี เรามีช่วงเวลาที่ดีในการบันทึกเช่นกัน แล้วทุกอย่างก็พังทลาย
พอล: อะไรคือสิ่งที่เป็นออสซีที่สุดที่คุณเคยเห็นออสซีทำ
กีเซอร์: ตอนพักที่โรงแรมหรูในมิวนิค เรากำลังยืนอยู่ในล็อบบี้ และรถโค้ชก็ขนนักท่องเที่ยวชาวอเมริกันเข้ามาเช็กอินในเวลาเดียวกัน เราจะออกไปกินอาหารเย็นกัน และ ออสซีก็บอกว่าเขาต้องการเข้าห้องน้ำแบบจะตายให้ได้ ผมเห็นเขาเดินเข้าไปในลิฟต์ เขาคงคิดว่าลิฟต์กำลังจะขึ้นไปที่ชั้นของเขา และเขาก็ถอดกางเกงลงเพราะเขารอไม่ไหวแล้ว แต่ลิฟต์ดันลงไปชั้นใต้ดินแทน เมื่อถึงตอนนั้น ชาวอเมริกันก็มารอลิฟต์พร้อมกับเรา เมื่อลิฟต์กลับขึ้นมาและประตูเปิดออก ก็เห็นออสซีกำลังนั่งคุดคู้อยู่ กางเกงขายาวพันรอบข้อเท้า และมีอุจจาระกองโตอยู่ใต้ตัวเขา ผมกรีดเสียงหัวเราะออกมาแบบกลั้นไม่อยู่ ชาวอเมริกันทั้งหมดยืนอยู่ที่นั่นอ้าปากค้าง จ้องมองด้วยความประหลาดใจ มันเหมือนกับบางอย่างจาก โฟลตีทาวเวอร์ (Fawlty Towers – รายการโทรทัศน์) แต่แย่กว่านั้น
พอล: คุณบอกว่าหลังจากทำ ซับบาธบลัดดีซับบาธ ทุกอย่างก็พังทลาย เกิดอะไรขึ้น?
กีเซอร์: ความล้า ตอนนั้นเราขอดูบัญชีจากผู้จัดการในขณะนั้นไม่ลดละ เรารู้ว่าเรามีรายได้มากกว่าที่เขาบอก แน่นอน เราไม่เคยได้เห็นบัญชี เราเลยตัดสินใจกำจัดเขา พูดง่ายกว่าทำมาก เพราะจากนั้นก็มีแต่ทนายกับทนาย เราเริ่มทำอัลบั้ม ซาโบแทจ (Sabotage) ในขณะที่มีกระบวนการทางศาลเกิดขึ้น เราอยู่ในสตูดิโออัดเสียง และผู้คนจะเอาหมายศาลและเอกสารต่าง ๆ มาให้เราทุกวัน. เราใช้เวลาสิบเดือนในการทำอัลบั้มเพราะเรื่องทางธุรกิจทั้งนั้น เราไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น และนั่นคือจุดเริ่มต้นของจุดจบสำหรับสมาชิกวงในยุคนั้น เราต้องจ่ายเงินให้ผู้จัดการ หนึ่งล้านดอลลาร์จากรายได้อัลบั้มในอนาคตของเรา เราจะไม่ได้รับเงินจากงานพวกนั้นเลย มันมากเกินไป มันฆ่าเรา
หลังจากนั้นแบล็กซับบาธก็ไม่ราบรื่นอีกต่อไป มียุคทองครั้งที่สองเกิดขึ้น แต่มันช่วงสั้นมาก ๆ เมื่อ รอนนี เจมส์ ดีโอ ผู้มีเสียงทรงพลังเกินตัวเข้ารับตำแหน่งต่อจาก ออสซี ออสบอร์นที่ถูกไล่ออก สมาชิกยุคนั้นสร้างอัลบั้มชั้นดีสองอัลบั้ม: เฮฟเวนแอนด์เฮล ในปี 1980 และ ม็อบรูลส์ ที่โดนประเมินค่าต่ำกว่าความเป็นจริงในปีถัดมา จากนั้นและอีก 16 ปีข้างหน้า แม้แต่ แบล็กซับบาธ ก็ดูเหมือนจะเลิกเป็นแบล็กซับบาธ แม้จะพยายามใช้บริการ เอียน กิลแลนในฐานะนักร้อง ไม่ต้องพูดถึง เดวิด โดนาโต
สมาชิกยุคคลาสสิกไลน์อัปรวมตัวกันอีกครั้งในปี ค.ศ. 1997 แต่ตำนานของพวกเขาก็จบลงในที่สุด ในหนังสือของ กีเซอร์ บัตเลอร์ เขียนเกี่ยวกับประสบการณ์ในวงแบล็กซับบาธของเขาด้วยความรู้สึกสับสนปนเป ราวกับยังไม่แน่ใจว่าเกิดขึ้นได้อย่างไร หรือทำไม แม้ว่าเขาจะชี้ให้เห็นอย่างชัดเจนถึงกระบวนการสร้างสิ่งที่ -ทุกวันนี้ ยังคงเป็นอัลบั้มสุดท้ายของแบล็กซับ ในปี 2013 อัลบั้ม 13 ที่มี แบรด วิลค์ จากเรจอะเกนสต์เดอะแมชีน มาแทนที่ บิล วอร์ด โดยที่ (โปรดิวเซอร์) ริก รูบิน กำลังป่วยอยู่ “เขาไม่ได้ทำอะไรมากมายนักหรอก” นั่นคือบทสรุปของ ริก รูบิน ในทัศนะของ กีเซอร์ บัตเลอร์
ในหนังสือ เขาเขียนถึงการพบกลอเรียภรรยาของเขาครั้งแรกที่สนามบินเซนต์หลุยส์ในทัวร์ เนเวอร์เซย์ดาย เมื่อปี 1978 เขาให้คนขับรถลิมูซีนตามหลังรถปอร์เช่สีแดงของเธอจากสนามบิน และเมื่อถึงไฟแดง รถหยุด ก็ชวนเธอออกไปทานอาหารเย็น เขาทิ้งจอร์จินาภรรยาคนแรกและคนรักในวัยเด็กของเขาเพื่อไปหา กลอเรีย และตอนนี้ทั้งคู่ก็แต่งงานกันมานานถึง 43 ปีแล้ว
พอล: คุณเคยทำตัวหุนหันพลันแล่นเหมือนที่ทำกับกลอเรียหรือไม่?
กีเซอร์: ไม่เชิง. ตอนนั้นผมแต่งงานแล้ว แต่เมื่อผมเห็นกลอเรียที่สนามบิน ก็เหมือนโดนเวทมนตร์ ผมรู้ทันทีว่าผมต้องพบเธอและต้องทำความรู้จักเธอ
พอล: อะไรทำให้การแต่งงานในชีวิตร็อกแอนด์โรลยืนยาวเช่นนี้?
กีเซอร์: เมื่อเราออกทัวร์กับวง คุณใช้เวลานั้นห่างกัน ดังนั้นมันจึงไม่เกิดความเบื่อหน่าย ผมไม่เคยแม้แต่พยายามนอกใจกลอเรีย นั่นช่วยได้มาก! มีลูกด้วยกันนั่นเป็นอีกเรื่อง ผมคิดว่าสิ่งสำคัญคือเราไม่ได้มองข้ามกันและกัน แน่นอน เราทะเลาะกันครั้งแล้วครั้งเล่า และผมเองยังแปลกใจที่เธออยู่กับผมทั้งที่ผมเมาตลอดเวลา แต่เราก็ผ่านมันมาได้ และตอนนี้เราก็แต่งงานกันอย่างมีความสุขเหมือนเช่นเคย
พอล: สิ่งแรกที่คุณได้ยิน รอนนี เจมส์ ดีโอ ร้องเพลงร่วมกับ แบล็กซับบาธ คืออะไร?
กีเซอร์: เราแต่งเพลง “ชิลเดรนออฟเดอะซี แต่ ออสซีคิดท่อนร้องไม่ได้เลย เรารู้ว่ามันจะเป็นเพลงที่ดี เราเล่นให้รอนนี่ฟัง และเขาร้องออกมาทันที มันเหลือเชื่อมาก เรารู้แล้วว่าเขาคือคนที่ใช่ ดอน อาร์เดน กำลังจัดการพวกเราอยู่ในขณะนั้น (หนังสือพิมพ์) นิวส์ออฟเดอะเวิลด์ ลงเรื่องเกี่ยวกับดอนด้านเป็นนักเลง เรารู้กิตติศัพท์ของเขาดี เขาออกอาการมากโขอยู่ตอนที่ไล่ออสซีออก เขาบอกเราว่า ต้องเป็นแบล็กซับบาธกับสมาชิกดั้งเดิมเท่านั้น หรือไม่ก็ไม่ต้องมีวงนี้เลย เมื่อรอนนี่เข้ามา ดอนก็พูดว่า “คุณเอาคนแคระน่าเกลียดมาแทนที่ออซซี่ไม่ได้!” เขาพูดต่อหน้ารอนนีด้วย นั่นคือวิธีที่ดอนพูด ไม่มีท่าทางหรือความสง่างามอะไรจากเขาอย่างแน่นอน เขาบอกเราว่า “เอาออสซีกลับมา ไม่อย่างนั้นผมจะไปทำงานกับเขาแทน” นั่นคือจุดจบของดอน
พอล: คุณเขียนว่าโทนี่จุดไฟเผาบิลระหว่างการทำอัลบั้ม เฮฟเวนแอนด์เฮล ทำไมเขาถึงทำอย่างนั้น
กีเซอร์: บิลไว้หนวดเครายาวหนาขึ้นเรื่อยๆ เมื่อเคราของเขายาวถึงระดับหนึ่ง โทนี่จะจุดไฟเผามัน กลายเป็นเรื่องตลกในวงไปเลย
เป็นตอนที่เรากำลังมิกซ์อัลบั้ม เฮฟเวนแอนด์เฮล ในลอนดอน ผมไม่รู้ว่าโทนี่กำลังทำอะไรอยู่ แต่มันเป็นอะไรบางอย่าง พี่ชายของบิลมารับเขาจากสตูดิโอ เพราะบิลไม่มีใบขับขี่ โทนี่พูดขึ้น: “ก่อนที่คุณจะไป บิล ผมจุดไฟให้คุณได้ไหม” บิลบอกให้เขาไปไกล ๆ แล้วก็จากไป จากนั้นประมาณสิบนาทีต่อมา บิลกลับเข้ามาในห้องและพูดกับโทนีว่า “เอาล่ะ คุณจะจุดไฟเผาผมก็ได้” แน่นอนว่าเมื่อได้รับอนุญาตจากบิลแล้ว โทนี่ก็แทบคลั่ง เขาราดบิลด้วยน้ำยาทำความสะอาดที่ติดไฟได้ซึ่งใช้เช็ดโต๊ะทำอาหาร บิลลุกขึ้นเหมือนกองไฟที่โชกเลือด เขากลิ้งไปมาบนพื้นเพื่อพยายามดับไฟ ในสตูดิโอไม่มีอะไรเลยนอกจากหนังสือพิมพ์เก่าๆ เราโยนพวกนั้นใส่เขา พยายามดับไฟ แต่เห็นได้ชัดว่านั่นยิ่งทำให้มันแย่ลงไปอีก ในที่สุดพี่ชายของเขาก็เข้ามาและสาดน้ำใส่บิล แต่เมื่อถึงเวลานั้นถุงเท้าและกางเกงยีนส์ของบิลก็ละลายเข้าไปในขาของเขา เขาถูกไฟไหม้อย่างรุนแรง พี่ชายพาเขาไปโรงพยาบาลทันที บิลได้รับแจ้งว่าพวกเขาอาจต้องตัดขาข้างหนึ่งของเขา เราทุกคนเสียใจเกี่ยวกับเรื่องนี้ แน่นอนว่าเราเสียใจจริง ๆ
ตอนตีสามของเช้าวันต่อมา แม่ของบิลโทรหาผมที่บ้าน เธอตะโกนใส่โทรศัพท์ ผมบอกเธอว่าไม่ใช่ผม แต่ผมก็ไม่อาจบอกเธอได้ว่าโทนี่เป็นคนทำ ในที่สุดเธอก็ค้นพบด้วยตัวเองว่าโทนี่เป็นคนทำ และตามไปราวีถึงบ้านแม่ของโทนี่ บิลเฒ่าผู้น่าสงสาร เชื่อหรือไม่ว่าเขารับมันด้วยจิตวิญญาณที่ดี
พอล: ทำไมบางสิ่งบางอย่างที่เข้ากันได้ดี อย่างช่วงเฮฟเวนแอนด์เฮลถึงได้กลับกลายเป็นความผิดพลาดได้รวดเร็วขนาดนี้?
กีเซอร์: เพราะคุณไม่รู้จักใครจริงๆ จนกว่าคุณจะได้ไปทัวร์กับพวกเขา การได้เห็นใครสักคนช่วงทานอาหารเย็นและอะไรแบบนั้นเป็นครั้งคราว อาจจะทำให้รู้สึกดี ในความเป็นจริง เฮฟเวนแอนด์เฮล ทั้งอัลบั้มและการทัวร์นั้นยอดเยี่ยมมาก นับเป็นอัลบั้มที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเรานับตั้งแต่ ซาโบแทจ แต่รอนนี่เข้าใจว่ามันเป็นเพราะเขา และเขาเป็นคนทำให้แบล็กซับบาธคืนชีพ และเขาพูดเรื่องนี้ให้เราฟังซ้ำแล้วซ้ำเล่า เขาเริ่มบ่นกับผมว่าโทนี่เล่นดังเกินไป และเล่นโซโล่นานแค่ไหน ผมเคยพูดกับเขาว่า: “ไปคุยกับโทนี่สิ อย่าบอกผม” ในที่สุด ผมก็เบื่อที่จะอยู่ตรงกลางระหว่างสองคนนี้ แล้ววันหนึ่งรอนนี่ก็เข้ามาพูดกับผมและโทนี่ว่า “ถ้าผมต้องร้องเพลงเก่า ๆ ของแบล็กซับบาธ ผมก็อยากได้ค่าลิขสิทธิ์ส่วนหนึ่งจากเพลงพวกนั้นด้วย” โทนี่กับผมบอกเขาว่าไม่มีทาง นั่นคือจุดสิ้นสุดของมัน

พอล: อะไรคือจุดต่ำสุดของช่วงที่คุณอยู่ในแบล็กซับบาธสำหรับคุณ?
กีเซอร์: เกือบตลอดเวลาสิบหกปีที่แสนวุ่นวาย เมื่อ เอียน กิลแลน เข้ามา ผมคิดว่ามันคงเป็นช่วงเวลาที่ดีที่จะสร้างวงดนตรีที่แตกต่างออกไป ไม่ว่าจะออกมาเป็นอัลบั้มในนาม ไอออมมี-กิลแลน-บัตเลอร์-วอร์ด หรืออะไรทำนองนั้น แต่ ดอน อาร์เดน กลับมาบริหารงาน และเขาช่วยให้เราทำสัญญากับวอร์เนอร์บราเธอร์ส แต่มันต้องออกมาในนามแบล็กซับบาธเท่านั้น หลังจากที่เอียนออกจากวงเพื่อเข้าร่วมดีพเพอเพิลอีกครั้ง ผมอยู่กับโทนี่ในแอลเอ คัดเลือกนักร้องใหม่ แต่มันไม่มีอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน
แล้วตอนนั้นลูกชายของผมเกิดมาพร้อมกับปัญหาหลอดเลือดแดงใหญ่เคลื่อน ดนตรีกลายเป็นสิ่งไม่มีความหมายอะไรกับผมในตอนนั้น ผมแค่อยากจะไปอยู่กับลูกและภรรยา ช่วงเวลานั้นมันมีโอกาส 50-50 ว่าลูกของเราจะรอดหรือไม่ นั่นเป็นช่วงเวลาที่เลวร้ายในชีวิตของผม
พอล: สมาชิกดั้งเดิมกลับมารวมกันอีกครั้งในปี 1997 เมื่อแก่ลง จะฉลาดขึ้นจริงหรือไม่?
กีเซอร์: ใช่. ผมหมายถึงออสซีได้พิสูจน์ตัวเองแล้ว และเขาก็เต็มไปด้วยความมั่นใจ เขาสูญเสียความมั่นใจไปมากในช่วงปลายทศวรรษ 70 ตอนนี้เขาใหญ่กว่าแบล็กซับบาธ เราทุกคนต่างแก้ปัญหาของตัวเอง และรู้สึกสดชื่นอีกครั้ง
พอล: คุณจะอธิบายการทำงานกับริก รูบินว่าอย่างไร
กีเซอร์: ก็ยังงงอยู่ ผมไม่รู้ว่าเขาทำอะไร เขาไม่ได้ทำอะไรกับโทนี่และผมแน่ ๆ บางทีเขาอาจจะไปได้ดีกับออสซี่ โทนี่เกือบจะฆ่าเขา โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเขาบอกโทนี่ว่าเขาต้องการแอมป์ปี 1968 เพื่อให้ฟังดูเหมือนในอัลบั้มแรก ผมได้แต่คิดว่าผู้ชายคนนี้มีชื่อเสียงได้อย่างไร แต่บริษัทแผ่นเสียงก็ชอบ และคนอื่นๆ ก็คิดว่าถ้าริก รูบินเป็นโปรดิวเซอร์ มันต้องยอดเยี่ยมแน่ๆ พวกเขาทั้งหมดหลงไปกับคำโฆษณา
พอล: คุณ ออสซี โทนี และ บิล อยู่ในห้องเดียวกันครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่นะ?
กีเซอร์: ในปี 2012 คิดว่าอย่างนั้นนะ ผมไม่ได้คุยกับออสซีเลยตั้งแต่คอนเสิร์ตที่แล้ว ชารอน ออสบอร์น กับกลอเรียไม่ค่อยถูกกันเท่าไหร่ เราไม่ได้รับอนุญาตให้พูดคุยกันตามคำสั่งของภรรยา ผมเจอโทนี่สองสามครั้ง เราได้รับรางวัลแกรมมี่ ไลฟ์ไทม์ ในปี 2019 และนั่นเป็นครั้งสุดท้ายที่ผมเจอบิล
วันนี้ผมแค่ดีใจที่มีความสุขและสนุกกับชีวิต ผมยังคงไว้ทุกข์ให้กับสุนัขของผมที่จากไปเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว สุนัขเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของผมเสมอมา ผมชอบอยู่ที่บ้านกับสัตว์เลี้ยงของผมมากกว่าการเข้าสังคมกับคนอื่น พูดตามตรง สัตว์ไม่ได้ทำให้คุณมีปัญหานองเลือดอย่างที่มนุษย์ทำ
พอล: แล้วไงต่อ?
กีเซอร์: ไม่รู้สิ อาจจะตายมั้ง?