Mick Mars VS Mötley Crüe

ผมแก่มากแล้ว และคงจะอยู่ไม่ถึง 85 หรือ 90 ผมรู้สึกแบบนั้น และไม่ต้องการแบบนั้นเหมือนกัน สมองผมบอกว่าไม่ต้องการร่างกายที่น่าเกลียดนี้ มันแย่เกินกว่าจะใช้มันต่อไป ผมได้แต่หวังว่าจะเอาข้อมูลออกจากสมองไปใส่ไว้ในชิป แล้วใส่คนอื่น หรือหุ่นยนต์ ยังมีอะไรอีกมากมายอยู่ในนั้น

มิก มาร์ส

มิก มาร์ส (อดีต) มือกีตาร์ของมอตลีครู (Mötley Crüe) ใช้เวลาส่วนใหญ่คิดเกี่ยวกับความตายของตัวเอง ซึ่งเขาคาดการณ์ว่าจะมาถึงในอีกประมาณแปดปีข้างหน้า จะไม่มีงานศพหรือพิธีรำลึกใดๆ เขาต้องการให้เผาร่างกายซึ่งเสื่อมสภาพมาเกือบ 60 ปีจากโรคกระดูกสันหลังคด (Ankylosing spondylitis – AS) เถ้ากระดูกให้บรรจุลงในโกศตะกั่ว “ผมต้องการให้พวกเขานำมันขึ้นเครื่องบินและทิ้งมันลงใจกลางสามเหลี่ยมเบอร์มิวดา” เขาพูด “ผมต้องการให้คนพูดว่า มิก มารส์ หายสาบสูญในสามเหลี่ยมเบอร์มิวดา’”

แอนดี กรีน นักเขียนจากนิตยสารโรลลิงสโตนได้มีโอากาสใช้เวลากับ มิก มาร์ส และตรงกับวันเกิดปีที่ 72 ของมิกพอดี

มิกนั่งให้สัมภาษณ์บนโซฟาในห้องนั่งเล่นของคฤหาสน์ของเขาในแนชวิลล์ รัฐเทนเนสซี แต่งกายด้วยชุดสีดำตั้งแต่หัวจรดเท้า ผมสีดำเส้นเล็กยื่นออกมาจากด้านหลังหมวก ผิวของเขาซีดมากจนดูโปร่งแสง ห่างออกไปประมาณ 5 ฟุตคือลำโพงมาร์แชลล์ขนาดมหึมา 10 ตัวและไมโครโฟนคุณภาพระดับสตูดิโอที่เขาใช้ในการบันทึกอัลบั้มเดี่ยวของเขา “ผมไม่รู้สึกว่าอายุเกิน 71” เขาพูดติดตลกขณะทักทาย

โทรศัพท์ของเขาดังตลอดเวลา มีเสียงอวยพรวันเกิดจากครอบครัวและเพื่อนๆ ตลอดทั้งวัน แต่เขากลับไม่ได้ยินอะไรจากเพื่อนร่วมวงทั้งสามคนเลย 

Mötley Crüe อยู่ท่ามกลางการต่อสู้ทางกฎหมายที่น่ารังเกียจ หลังจาก มิก มาร์ส ตัดสินใจในเดือนตุลาคม 2022 ว่าจะเลิกออกทัวร์คอนเสิร์ตหลังจากใช้เวลาช่วงฤดูร้อนที่แล้วในการทัวร์รวมตัวร่วมกับ พอยสัน เดฟเลพพาร์ด และ โจน เจตต์

ในเอกสารที่มิกยื่นต่อศาลกล่าวหาว่าวงใช้สิ่งนี้ (การไม่ออกทัวร์) เป็นข้ออ้างในการถอดเขาออกจากวงที่เขาร่วมก่อตั้งเมื่อ 42 ปีก่อน และถอดเขาออกจากส่วนแบ่งรายได้ของวงในอนาคต เขายังกล่าวหาเพื่อนร่วมวงของเขาว่าใช้เสียงที่บันทึกไว้ล่วงหน้าในทัวร์

ในขณะที่มอตลีครูโต้กลับว่า มิก มาร์ส ต่างหากที่ไม่ได้เล่นจริงบนเวทีเพราะจำเพลงหรือเล่นเพลงเหล่านั้นไม่ได้

คดีเพิ่งเริ่มดำเนินการผ่านระบบกฎหมายและอารมณ์ยังคงร้อนแรง

“เมื่อพวกเขาเมาและทำทุกอย่างพัง ผมต้องเป็นคนจัดการทุกอย่าง” มิก มาร์ส บอก “ตอนนี้พวกเขากำลังพยายามพรากมรดกของผมไป ความเป็นมอตลีครู ความเป็นเจ้าของชื่อ คุณจะไล่ (เฮนนี จอห์น) ไฮนซ์ออกจากซอสมะเขือเทศไฮนซ์ได้อย่างไร เขาเป็นเจ้าของมัน มรดกของ แฟรงก์ ซินาตรา หรือ จิมี เฮนดริกซ์ ยังคงอยู่ตลอดไป และทายาทของพวกเขายังคงได้รับผลประโยชน์จากมัน พวกเขาพยายามที่จะพรากสิ่งนั้นไปจากผม ผมจะไม่ยอมให้พวกเขาทำแบบนั้น”

เมื่อไม่กี่สัปดาห์ก่อนเริ่มทัวร์ยุโรปของมอตลีครูกับมือกีตาร์คนใหม่ จอห์น 5 นิกกี ซิกซ์ ซึ่งส่วนใหญ่เก็บตัวเงียบเหมือนสมาชิกคนอื่น ได้ระบายความคับข้องใจที่เก็บไว้นานเดือน “เรากำลังนั่งอยู่ที่นั่น กลับมาจากการเลิกออกทัวร์ แต่มือกีตาร์ของเราจำเพลงไม่ได้” เขากล่าว “เราอยู่ที่นั่นเฝ้าดูเขาร่างกายทรุดโทรม จิตใจแหลกสลาย ความทรงจำแหลกสลาย พวกเราพยายามสนับสนุนมิกอย่างใส่ใจ เรายืนเคียงข้างเขาเสมอมา แต่เราไม่สามารถปล่อยให้เวทีด้านเขาเป็นแค่ซากปรักหักพัง และตอนนี้เขาพูดสิ่งเหล่านี้เพราะเขาพยายามจะทำร้ายเรา ประเด็นคืออะไร? เขากำลังทำลายมรดกของเขาเอง”

ในเช้าวันเกิด มิก มาร์สพยายามจดจ่อกับแผนการของวัน เซไรนา ภรรยาของเขาซื้อซินธิไซเซอร์โรแลนด์ซิสเต็ม 8 ให้เขาเป็นของขวัญ (“มันทำของเจ๋งๆ ได้เยอะเลย!” มิกพูดอย่างตื่นเต้น) และเธอตื่นนอนตั้งแต่ตี 5 เพื่อย่างบาร์บีคิวในสวนหลังบ้าน เค้กช็อกโกแลตชิ้นมหึมาหรูหราโรยด้วยไข่มุกสีขาวซึ่งทำขึ้นใหม่วางอยู่ในตู้เย็น เออนี บอล แมวเมนคูนขนยาวของพวกเขานั่งเล่นบนโซฟาในขณะที่โทรทัศน์กำลังฉายโฆษณารายการ TruTV Ghost Hunters มีกระโหลกพลาสติกหลายรูปทรงและหลายขนาดวางอยู่ทั่วบ้าน รวมถึงถ้วยกะโหลกในครัวที่บรรจุ อีควลและสวีตแอนด์โลว์ ขารองซับวูฟเฟอร์ในโฮมเธียเตอร์ก็เป็นกะโหลกไม้ยาว 2 อัน

อาจฟังดูแปลกและเป็นโกธิก แต่จริงๆ แล้วมันเป็นสภาพแวดล้อมที่อบอุ่นและเป็นกันเองมากเมื่อเทียบกับชีวิตของมิกในอดีต ย้อนกลับไปในทศวรรษที่ 80 มิกใช้เวลาค่ำคืนขับคอร์แวตต์ตระเวนบาร์รอบลอสแองเจลิส แต่ทุกวันนี้เขาไม่ค่อยออกจากบ้าน ชอบนอนขดตัวบนเบาะหนังสีน้ำตาลกับเซไรนาเพื่อดูหนังสยองขวัญในห้องฉายหนังของพวกเขา “หนังเรื่อง โฮสเทล นั้นดี” เขากล่าว “แต่ผมชอบหนังสยองขวัญรุ่นเก่ามากกว่า บางคนเลวมากแต่ก็ยังดี ของใหม่ก็เหมือนแผ่นเสียงที่ขัดเกลาปรับแต่งมันมากเกินไป”

ไม่ใช่เรื่องแปลกที่ได้ยินจากมือกีตาร์ผู้ร่วมเขียนเพลง “Girls, Girls, Girls” และ“Don’t Go Away Mad (Just Go Away)” ซึ่งไม่ใช่ “งานโปรดักชันที่เรียบง่าย” แต่ มิกไม่เคยเหมาะกับวงดนตรีแกลมเมทัลยุค 80 เลย เขาอายุมากกว่าเพื่อนร่วมวงสามคนถึง 10 ปี และมีความรักในวงบลูส์-ร็อกอย่าง Ten Years After และ Bad Company มากกว่าวงอย่าง Kiss และ the New York Dolls ที่วงอื่นๆ บูชา “มีสิ่งดีๆ มากมายในยุคเจ็ดสิบ” มิกกล่าว “ผมหวังว่าผมจะ [ประสบความสำเร็จ] ได้ น่าจะเหมาะกว่า แต่ผมก็ทำไม่สำเร็จ”

เขาไม่มีโอกาสทำมันให้สำเร็จจนกระทั่งอายุ 29 เขายากจนและสิ้นหวังกับลูกเล็กๆ สามคนที่ต้องเลี้ยงดู เขาได้พบกับเพื่อนร่วมวงมอตลีครูผ่านโฆษณาที่อธิบายตัวเองว่า “เล่นกีตาร์เสียงดัง หยาบคาย และดุดัน” ภายในเวลาไม่กี่เดือน พวกเขากลายเป็นวงดนตรีที่ร้อนแรงที่สุดด้วยการแสดงบนเวทีสุดเร้าใจ ชุดหนังรัดรูป และการใช้สเปรย์ฉีดผม มาสคาร่า และลิปสติก “ผมก็ต้องแต่งหน้า แต่ไม่เคยชอบมันเลย” เขากล่าวพร้อมกับถอนหายใจ “ผมดูเหมือนหญิงชราที่น่าเกลียดจริงๆ”

มิก มาร์ส จำไม่ได้ว่าความเจ็บปวดเริ่มขึ้นเมื่อใด แต่เขาคิดว่าเกิดขึ้นตอนอายุประมาณ 14 ปี มันเริ่มต้นด้วยอาการปวดอย่างรุนแรงที่ด้านบนของกระดูกก้นกบ เมื่อถึงเวลาที่เขาเริ่มโด่งดังในคลับต่าง ๆ ทั่วแอล.เอ. ความเจ็บปวดนั้นเริ่มลามไปทั่วร่างกาย “ผมจำได้ว่าเคยบอกเพื่อนว่าปวดหลังมาก จนรู้สึกเหมือนมีรูในท้อง และกรดในกระเพาะกำลังเผาไหม้ผมจากข้างใน” เขากล่าว “ผมจับลูกบิดประตูแล้วพูดว่า ‘ดึงให้แรงที่สุดเท่าที่จะทำได้’ แต่ก็ไม่ช่วยให้ดีขึ้น และความเจ็บปวดก็แย่ลงเรื่อยๆ ร่างกายของผมเริ่มคดงอ มันทำให้ผมดูแก่กว่าที่ผมเป็น”

เมื่อเขาอายุ 27 ปี แพทย์ได้วินิจฉัยว่าเขาเป็นโรคกระดูกสันหลังอักเสบยึดติด (Ankylosing spondylitis)  “ผมคิดว่า ‘เจ๋ง ตอนนี้ผมรู้แล้วจะตายอย่างไร’” เขากล่าว “แต่ไม่ใช่โรค AS ที่ฆ่าคุณ มันทำให้เกิดสิ่งอื่นที่ฆ่าคุณ มันไม่ค่อยเข้าไปในมือหรือเท้าของคุณ หมายความว่าผมยังเล่นกีตาร์ได้ และนั่นคือสิ่งที่สำคัญที่สุด”

สำหรับชายผู้เกิดมาในชื่อ โรเบิร์ด อลัน ดีล (Robert Alan Deal) ในเมือง เทอเรโฮต รัฐอินเดียนา เขาถือว่าการเล่นกีตาร์คือ “สิ่งสำคัญที่สุด” นับตั้งแต่เขาอายุได้ 3 ขวบ และได้เห็น สคีเตอร์ บอนด์ นักร้องแนวคันทรีเล่นในงาน 4-H Fair “เขาสวมชุดสีส้มสดใสประดับด้วยเพชรพลอยทั่วตัว และหมวกสเตตสันสีขาวใบใหญ่” มิกกล่าว “ แล้วผมก็ ‘ผมจะทำอย่างนั้น นั่นคือสิ่งที่ผมต้องการจะทำ’”

เมื่อเขาอายุได้ 9 ขวบ ครอบครัวของเขาที่มีสมาชิกทั้งหมด 7 คนเบียดเสียดกันในรถฟอร์ด กาแล็กซี่ ปี 1959 และขับรถกว่า 2,000 ไมล์ไปยังเมืองชนชั้นแรงงาน การ์เดน โกรฟ รัฐแคลิฟอร์เนีย ด้วยสถานะทางการเงินตึงตัวเป็นอย่างมาก (และจะยังคงเป็นอย่างนั้น จนกระทั่งเดอะครูเริ่มมีชื่อเสียงในทศวรรษที่ 80) แต่พ่อแม่ของเขาเก็บสะสมเงินไว้มากพอที่จะซื้อกีตาร์ให้เขา และเขาก็ฝึกฝนอย่างไม่ลดละ โดยคิดถึงว่ามันจะต้องยิ่งใหญ่สักวัน แต่ชีวิตของเขาเปลี่ยนไปเมื่อ ชารอน แฟนสาวของเขาให้กำเนิดลูกชาย เลส พอล เมื่ออายุเพียง 19 ปี และตามด้วย สตอร์มี ลูกสาวในสองสามปีต่อมา 

ด้วยเหตุนั้น เขาจึงทำงานกลางวันกับเครื่องจักรหนักในอุตสาหกรรมซักผ้า และกลางคืนเล่นคลับเล็กๆ กับวงวาโตชิ (Wahtoshi) เมื่อเกิดอุบัติเหตุในที่ทำงานเกือบทำให้มือข้างหนึ่งแหลกเป็นเสี่ยง ๆ ทำให้เขาเลิกงานกลางวันเพื่อตั้งใจกับดนตรีเต็มเวลา ชารอนก็เดินจากชีวิตเขาและพาเลส พอลและสตอร์มีไปด้ว

 มันคือช่วงเวลาที่ยากลำบากสำหรับนักดนตรีมือใหม่ที่ยากจนซึ่งเกี่ยวข้องกับการเล่นในวงดนตรีระดับสามในแอลเอ นอนบนโซฟาและพื้น และหลบตำรวจเนื่องจากไม่จ่ายค่าเลี้ยงดูบุตรตามกำหนดเวลา

ในปี 1973 เขาเข้าร่วมวง ไวต์ฮอร์ส (White Horse) ที่ประสบความสำเร็จปานกลาง “เขามีโทนเสียงดีมาก…” แฮร์รี เคลย์ มือเบสวงไวต์ฮอร์สเล่า “…หูและจังหวะที่ดีมาก เขาสามารถคัดลอกโน้ตต่อโน้ตได้ คุณให้เพลง ไฮเวย์สตาร์ ของ [ดีพเพอเพิล] แก่เขา และเขาสามารถเล่นท่อนริฟฟ์ของริตชี แบล็กมอร์ได้เลย”

แต่ถึงแม้จะได้เงินจากการเล่นกับไวต์ฮอร์ส มิกก็ยังไม่สามารถซื้อบ้านของตัวเองได้และต้องอาศัยพื้นอพาร์ตเมนต์ของ แฮร์รี เคลย์ และ แจ็ก วาเลนไทน์ มือกลองของไวต์ฮอร์ส์ และเมื่อมีลูกคนที่สามอีริก ยิ่งทำให้สถานการณ์ทางการเงินของเขาตกอยู่ในภาวะขัดสนยิ่งขึ้น “เขาเป็นคนที่เศร้าจริงๆ” แจ็ก วาเลนไทน์กล่าว “มองเข้าไปในดวงตาของเขา ผมเห็นโลกที่เศร้าโศกนี้ เขามีชีวิตที่ลำบากมาก” (ทุกวันนี้ มิกติดต่อกับ เลส พอล อยู่บ้าง แต่ไม่ได้ติดต่อลูกอีกสองคน ส่วนภรรยาที่แต่งงานกับเขาร่วม 10 ปีไม่เคยพบลูก ๆ ของเขาเลยด้วยซ้ำ มิกเชื่อว่าเขามีหลานเก้าคนและเหลนอย่างน้อยหนึ่งคน แต่เขาไม่แน่ใจจำนวนที่แน่นอน และนี่ไม่ใช่หัวข้อที่เขาอยากพูดถึง)

“เขาอยู่กับผม 4 ปี และใช้นามแฝงสารพัดเพื่อหลีกเลี่ยงตำรวจ” แจ๊ก วาเลนไทน์กล่าวต่อ “เมื่อใดก็ตามที่เราโดนตำรวจเรียกเพราะไฟท้ายหรืออะไรก็ตาม และตำรวจเห็นบัตรประจำตัวของเขา จะจับเขาเข้าคุก เราต้องหาทางเอาเขาออกมา ผมเคยต้องจำนำฉาบครั้งหนึ่งเพื่อประกันตัวเขาเพื่อที่เราจะได้เล่นคอนเสิร์ต”

แต่มิกก็คุ้มค่าสำหรับปัญหาทั้งหมดที่มี เนื่องจากเขาได้ช่วยไวต์ฮอร์สให้มีแฟนเพลงเพิ่มขึ้นทั่วแคลิฟอร์เนียตอนใต้ คู่แข่งหลักของพวกเขาคือแมมมอธ (Mammoth) วงคัฟเวอร์อีกวงที่นำโดยมือกีตาร์ที่ในตอนนั้นยังไม่มีใครรู้จัก เอ็ดดี แวน แฮเลน “มิก มาร์สและเอ็ดดี แวน ฮาเลนเป็นสองนักกีตาร์ที่ร้อนแรงที่สุดในแอลเอ” แจ๊ก วาเลนไทน์กล่าว “โลกนี้ไม่มีนักกีตาร์ที่ดีกว่าสองคนนี้แล้ว”

แต่ในช่วงปลายยุค 70 คลับร็อคหลายแห่งเปลี่ยนเป็นดิสโก้ และในที่สุด ไวต์ฮอร์สก็ให้มิกออกจากวง “คุณเล่นร็อกไม่ได้อีกแล้ว” แจ็ก วาเลนไทน์บอก “โปรดิวเซอร์ของเราบอกว่า ‘ถ้าพวกคุณไม่ทิ้งเพลงร็อคแอนด์โรลนี้และไหลไปกับดนตรีดิสโก้ คุณจะต้องเล่นในที่เล็ก ๆ ไปตลอดชีวิตที่เหลือของคุณเหมือนแวนแฮเลน”

ทุกอย่างเปลี่ยนไปเมื่อ มิกตั้งวงกับ นิกกี ซิกซ์ และ ทอมมี ลี มือกลอง ในที่สุดเขาก็ได้อยู่ในวงดนตรีที่มีความทะเยอทะยานเกินตัว มีเนื้อร้องที่เข้ากับตัวเขาเอง และมีความมุ่งมั่นอย่างแน่วแน่ที่จะสร้างดนตรีของตัวเอง เมื่อนึกย้อนกลับไปถึงชื่อที่ใฝ่ฝันเมื่อหลายปีก่อน เขาตั้งชื่อมันว่า Mötley Crüe (นิกกีเพิ่มเครื่องหมาย 2 จุดกำกับที่ตัวโอและยู)

มิกยังได้ผู้สนับสนุนทางการเงินเพื่อช่วยพวกเขาทำเพลงแรก และประสบความสำเร็จในการเกลี้ยกล่อมให้พวกเขาไล่นักร้องคนแรก โอดีน ปีเตอร์สัน ออกหลังจากนั้นอยู่กับวงเพียงไม่กี่สัปดาห์ เพราะรู้สึกว่าเขาไม่เหมาะสมนัก “ผมจำครั้งแรกที่เห็น วินซ์ นีล ได้” มิกกล่าว “เขาอายุประมาณ 19; เด็กผมบลอนด์ตัวผอมแต่งตัวด้วยชุดหนังสีขาว ดูเท่ราวกับนรก ผมชอบ ‘ผมไม่สนหรอกว่าเด็กคนนั้นจะร้องเพลงได้หรือไม่ สาวๆชอบ! เซ็กซ์ขายได้’”

เมื่อมองย้อนกลับไปเมื่ออยู่กับเดอะครู มิก มาร์ส กล่าวว่าไม่มีความรู้สึกสบายใจในตอนแรก แต่เมื่อวงนี้โด่งดัง ออกมาเล่นนอกคลับและบันทึกเพลงคลาสสิกในอนาคต เช่น “Live Wire” และ “Too Fast for Love” ดนตรีมาจากพังก์ แกลม และเมทัลเท่าๆ กัน ทำให้เกิดเสียงลูกผสมที่โดดเด่น “นั่นคือตอนที่ผมมีความสุขที่สุด” เขากล่าว “มันเหมือนกับการปีนขึ้นบันไดเก่าออกมาแทนที่จะตายซากในคลับเหม็นอับ คุณรู้สึกและเห็นมันได้ ทุกอย่างใหม่ ทุกคนเป็นแบบว่า ‘ผมไม่เคยได้ยินอะไรแบบนี้มาก่อนเลย’”

มิก มาร์สไม่เหมือนกับนักกีตาร์เมทัลในยุคนั้น “เขามีโทนเสียงที่ยอดเยี่ยมมาก” จอห์น โคราบี ซึ่งเข้าร่วมวงมอตลีครูในฐานะนักร้องในปี 1992 หลังจากที่วินซ์ นีลออกจากวงและยังคงมิตรภาพกับมิกบอก “เขาชอบคนที่เล่นโทนเสียงที่น่าทึ่งอย่าง เลสลี เวสต์ และ เจฟฟ์ เบ็ก สำหรับมิก มันคือการเตะคุณที่หน้าอกด้วยเสียงที่มุ่งร้าย เขาเป็นนักวิทยาศาสตร์เมื่อพูดถึงเสียง และเขาไม่ได้แค่มีอายุมากกว่าเพื่อนร่วมวง 10 ปีเท่านั้น เขายังฉลาดกว่า 10 ปีอีกด้วย”

แต่เมื่อเอ็มทีวีโอบกอดพวกเขาและพวกเขาเริ่มแสดงต่อหน้าผู้คนหลายหมื่นคนต่อคืน สิ่งต่างๆ ก็ซับซ้อนขึ้น เพื่อนร่วมวงสามคนของเขาเข้าสู่วิถีชีวิตแบบร็อกแอนด์โรลจนถึงขั้นไร้สาระ และแตกแยกหยั่งลึกภายในกลุ่ม เมื่อพวกเขาออกทัวร์กับ ออสซี ออสบอร์น ในช่วงต้นปี 1984 ซึ่งเป็นการจับคู่ที่อื้อฉาวจนมีชื่อเสียง โดยที่เดอะครูเฝ้าดูนักร้องซูเปอร์สตาร์เมามายและสูดมดเข้าปอด (แทนที่จะเป็นโคเคน) (“ผมเห็นมันกับตา” มิกบอก) – บ็อบ ไดสลีย์  มือเบสของออสซีบอกว่า คืนหนึ่งเขาเดินไปในรถบัสของมอตลีครู เขาได้เห็นพวกเขาคุยกันเรื่องแผนการไล่มิกออกจากวง “ผมบอกพวกเขาว่า ‘คุณมีเคมีที่เข้ากัน และ มิก มาร์ส เป็นส่วนหนึ่งของสิ่งนั้น อย่าไปทำให้มันเสียไป’” บ็อบเล่าในปี 2021

มิก มาร์ส เชื่อเรื่องนี้ แม้ว่าเขาจะบอกว่าวงไม่เคยขู่ว่าจะไล่เขาออก “พวกเขาไม่กล้า” เขากล่าว “แต่วันหนึ่งตอนซ้อม พวกเขาพูดว่า ‘ เจก อี. ลี [มือกีตาร์ของออสซี ออสบอร์น] น่าจะดูดีที่นี่’ ผมก็พูดว่า ‘ผมเล่นกีตาร์ในวง ไม่ต้องมีใครอื่นที่นี่” (นิกกีบอกว่าทั้งสองเรื่องนั้น “เท็จ 100 เปอร์เซ็นต์”)

ในช่วงเวลาเดียวกันนี้เอง เฮโรอีนก็เข้าสู่วง “ผมได้แต่ ‘ได้โปรดอย่าถึงกับหมดสติเลย'” มิก กล่าว “’คุณไม่สามารถทำเพลงได้เมื่อคุณขาดสติ’ แต่มันสายเกินไป นั่นทำให้ผมเสียใจจริงๆ” มิก มาร์สยอมรับว่าเขามีปัญหาเรื่องการดื่มเหล้าสาหัสขึ้นในยุค 80 เขาไม่ค่อยสนใจวง “ผมป็นคนแก่” เขากล่าว “กลุ่มเพื่อนของผมก็เริ่มใช้ไม้เท้า… มันมีเวลาปาร์ตี้ให้สุดเหวี่ยง และมีเวลาจบ คุณต้องไป ‘คุณรู้อะไรไหม? ผมพอแล้ว’”

แต่แม้ในช่วงที่วงดนตรีประสบความสำเร็จสูงสุด มิก มาร์สแทบไม่มีความมั่นคงทางการเงิน “ได้เงินมาก้อนใหญ่” เขากล่าว “แต่ผมแต่งงานสองครั้งและหย่าสามครั้ง หนึ่งคือก่อนที่จะก่อตั้งวง สองคือภรรยาคนแรก และสามคนคือภรรยาคนที่สอง พวกเธอดึงเงินออกจากบัญชีธนาคารของผม ผมเสียบ้าน เสียรถ เสียกีตาร์ สูญเสียทุกอย่าง”

อาจเป็นเหตุผลว่าทำไมเขาถึงมองย้อนกลับไปในยุคของ Dr. Feelgood ด้วยความขมขื่น แม้ว่าจะมีซิงเกิลฮิตถึง 5 เพลงและพาวงนี้ไปสู่ความเป็นซุปเปอร์สตาร์ก็ตาม “เราน่าจะทัวร์อย่างน้อยหนึ่งปีครึ่ง” มิกเอ่ยปาก “เราทำได้เก้าเดือนแล้วก็แบบว่า ‘ไม่นะ! มีคนป่วยในวง’ ทัวร์นั้นถูกยกเลิก ผมผิดหวังมาก”

นิกกีดูจะงุนงงกับข้อกล่าวหานี้ “ไม่มีใครในวงป่วย” เขากล่าว “เราทุกคนสะอาดและมีสติ และเราออกทัวร์เป็นเวลานานจนกระทั่งถึงเวลาที่ต้องหยุดทัวร์ สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่เขาไม่เคยพูดกับเราหรือผู้บริหาร ทำไมเขาถึงไม่บอกว่าเขาคิดอย่างไร”

จากข้อมูลของ มิก มาร์ส ถ้าเขาไม่พูดถึงเรื่องนี้เลย อาจเป็นเพราะเขาเกลียดความขัดแย้งอย่างรุนแรงและไม่มีความสัมพันธ์นอกเวทีกับวงดนตรี เขาบอกว่า นิกกีไปเยี่ยมบ้านของเขาครั้งสุดท้ายในยุค Dr. Feelgood “เขา [เคย] มาหาผมมากสุดแค่ 2-3 ครั้งเท่านั้น” มิก กล่าว “ทอมมี่เคยมาที่นี่ครั้งหนึ่ง และวินซ์ก็เคยมาที่นี่เพียงครั้งเดียว แม้ว่าเขาจะอาศัยอยู่ไม่ไกลจากผมในเวนิสบีช มันเป็นเพียงวิธีที่เราทำงาน”

แอนดี กรีน มีโอกาสได้เข้าไปในสตูดิโอชั่วคราวของมิกซึ่งอยู่ไม่ไกลจากห้องนั่งเล่นของเขา กีตาร์ล้ำค่าวางอยู่บนชั้นวางและกล่องตลอดผนัง รวมถึง กิบสันเลสพอล ปี 1960 สีส้มมูลค่าประมาณ 250,000 ดอลลาร์ และ เฟนเดอร์สตราโตคาสเตอร์สีขาวในตำนานของเขา – อิซาเบลลา ที่เขาเล่นบนเวทีในคอนเสิร์ตมอตลีครูนับไม่ถ้วนครั้ง สีส่วนใหญ่หลุดลอกออกและเคลือบด้วยรอยไหม้สีเข้มเนื่องจากอยู่ใกล้กับพลุไฟตลอดเวลา

เพลงจากอัลบั้มใหม่ของเขา Another Side of Mars นั้นมืดมนและดุดันยิ่งกว่าสิ่งใดในที่มอตลีครูเคยทำมา ลองไล่ดูชื่อเพลงแบบเร็ว ๆ บนกระดานไวท์บอร์ดในสตูดิโอของเขา — “Broken on the Inside” “Alone” “Lonely in Your Grave” “Loyal to the Lie” “Decay” “Fear” “Memories” “Erased” — เผยให้เห็นกรอบความคิดที่ขมขื่นของเขาเมื่อเขียนเนื้อเพลงในช่วงที่วงล่มสลาย

“นี่คือเพลงที่ผมเขียนชื่อ ‘Killing Breed,’” มิกบอก. “มันเกี่ยวกับคนหลงตัวเองที่ทำให้คุณโดนตรึงและทำให้คุณเป็นบ้า”

มิกปฏิเสธที่จะกล่าวอย่างชัดแจ้งว่า “คนหลงตัวเองทำให้คุณถูกตรึงไว้” นั้นอ้างอิงถึงเพื่อนร่วมวงมอตลีครูของเขาหรือไม่ แต่กระนั้นก็ไม่อาจปกปิดรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ได้ เป็นเรื่องยากที่จะเดินผ่านบ้านขนาดเกือบ 12,000 ตารางฟุตของเขาโดยมองไม่เห็นความภูมิใจในความสำเร็จของมอตลีครู ผนังประดับด้วยแผ่นเสียงทองคำ โปสเตอร์คอนเสิร์ตยุค 80 ย้อนยุค และสำเนาพร้อมกรอบของ Billboard 200 เมื่อวันที่ 21 ตุลาคม 1989 ซึ่ง Dr. Feelgood ยึดอันดับหนึ่ง

มันเป็นจุดสูงสุดของความสำเร็จของวง เพลงกรันจ์ฮิตในอีกสองสามปีต่อมา วินซ์ นีลก็ลาออก และวงก็พังทลายเมื่อออกทัวร์กับ จอห์น คอราบี เพื่อสนับสนุนอัลบั้มที่ตายแทบจะทันทีในปี 1994 “เราเปลี่ยนจากสนามกีฬามาเป็นคลับขนาด 1,200 ที่นั่ง ซึ่งคุณต้องเดินผ่านคนดูขึ้นเวที” มิก มาร์สเล่า  “ผมคิดว่าเราจะสร้างอัลบั้มที่ยิ่งใหญ่ที่สุดที่เราเคยทำมา และรู้สึกเหมือนถูกหลอกหรือเปล่า? ใช่ ผมรู้สึก ถ้าเราทำทัวร์ Dr. Feelgood นานพอ ผมคงไม่รู้สึกว่าถูกหลอก”

พวกเขากลับมารวมตัวกับ วินซ์ นีล อย่างไม่เต็มใจในปี 1997 เพื่อบันทึกเสียง Generation Swine และ มิกบอกว่าเขาถูกบีบออกจากกระบวนการตัดสินใจ ณ จุดนี้ จอห์น คอราบี ซึ่งติดอยู่ในช่วง 2-3 เดือนแรกของยุคการรวมตัวใหม่ สนับสนุนคำกล่าวอ้างของมิก “พวกเขาไม่เคารพมิก” เขากล่าว “มิกก็เป็นแค่ไอ้แก่ขี้บ่นสำหรับพวกเขา [นิกกีและทอมมี] พูดแต่เรื่องการเงินและผู้หญิงที่เขาเดทด้วย เขาต้องรับมือกับสิ่งนี้มากว่า 20 ปี”

มีการพูดถึง Generation Swine ประมาณ 10 ครั้งตลอดสองวันที่แอนดี กรีนอยู่กับมิก ส่วนใหญ่โดยไม่ตั้งใจ แม้จะผ่านมา 1 ใน 4 ศตวรรษแล้ว แต่บาดแผลทางใจยังคงสดใหม่อยู่ “ผมไม่คิดว่าจะมีโน้ตสักตัวที่ผมเล่น” เขาพูดพร้อมกับยิ้ม “พวกเขาไม่ต้องการให้กีตาร์ของผมมีเสียงเหมือนกีตาร์ พวกเขาต้องการให้เสียงเหมือนซินธิไซเซอร์ ผมรู้สึกไร้ประโยชน์มาก เมื่อผมทำไป พวกเขาจะลบมัน และให้ใครอื่นเข้ามาเล่นแทน”

เมื่อพวกเขากลับเข้าไปในสตูดิโอเพื่อทำ New Tattoo ในอีกสองสามปีต่อมา โดยมี แรนดี คาสทิลโล ตีกลองแทนทอมมี มิกบอกว่าเขาถูกปฏิเสธไม่ให้เข้าไปมีส่วนร่วม “ผมไม่ได้แต่งเพลงพวกนี้เลย เพราะไม่ได้รับเชิญ” มิกกล่าว “ผมคิดว่าผมเล่นสักลิกเดียวมั้ง ในอัลบั้มนั้น” 

นิกกีโต้แย้งเรื่องนี้ว่า “มิกเล่นลีดกีตาร์ ริธึมกีตาร์ และอื่นๆ ในอัลบั้มนั้น” นิกยืนยัน“และมิกเป็นคนที่แต่งท่อนริฟฟ์ได้เจ๋งมาก แต่เขาไม่ใช่นักแต่งเพลง และทุกคนก็ลืมเรื่องสุขภาพของมิกในช่วงเวลานั้น สุขภาพของเขาทรุดโทรมและเสพติดฝิ่น (เพื่อลดความเจ็บปวดจากโรคร้าย)

Saints of Los Angeles ในปี 2008 ผลงานล่าสุดของ Mötley Crüe (จนถึงตอนนี้) ทั้งสองฝ่ายยอมรับว่า ดีเจ แอชบา เป็นคนเล่นกีตาร์ส่วนใหญ่โดยไม่ได้รับเครดิต นิกกี ซิกซ์ กล่าวว่าพวกเขามีทางเลือกน้อย “มิกมีปัญหาในส่วนของเขา” เขากล่าว “จึงต้องผสมระหว่างดีเจและมิก และเราให้มิกเป็นจุดศูนย์กลาง เว้นแต่…แน่นอนว่าเขาไม่สามารถเล่นหรือจำส่วนของเขาไม่ได้”

จุดตกต่ำที่สุดของ มิก มาร์ส เกิดขึ้นหลังเหตุการณ์ 9/11 ไม่นาน เมื่อมอตลีครูเงียบหายไป และมิกกลับมาอยู่ที่บ้านของเขาในมาลิบู เขาดื่มเหล้าหนักหน่วง และอาศัยยาแก้ปวดจำนวนมากเพื่อทำให้มึนงงลืมความเจ็บปวดของ AS เขาใช้ Oxycontin, Vicodin และ Lortab ในปริมาณที่ทำให้ชีวิตเขาเฉียดความตายมากที่สุด ยิ่งไปกว่านั้น ราร้ายแรงยังแพร่กระจายไปทั่วบ้านของเขา เมื่อไม่ต้องออกทัวร์หรือบันทึกเสียง ทำให้มิกแทบไม่ย่างเท้าออกจากบ้าน และเขาอ้างว่าผลกระทบของราทำให้เขาผอมแห้งและประสาทหลอน

“ผมเคยเห็นสัตว์เลื้อยคลานจากต่างดาวขนาดยักษ์ที่ปลายเตียง” เขาเล่า “และเอเลี่ยนตัวเล็กขนดก ตอนกลางคืนมนุษย์แมวมักจะเข้ามา แบบที่แม่เคยเตือนว่าอาจจะเข้ามาขโมยลมหายใจผม โชคดีที่ผมรู้ตัวว่าผมเห็นภาพหลอน คนอื่นไม่รู้ตัวและจบลงด้วยการกระโดดออกจากหน้าต่าง”

ไม่นานก่อนการทัวร์รวมตัวของวงในปี 2005 มิก มาร์สย้ายออกจากบ้านและเข้ารับการผ่าตัดเปลี่ยนข้อสะโพก “เขาย้ายเข้ามาในบ้านผม” นิกกีบอก “ผมพาเขาไปหาหมอ และจริงๆ แล้วผมต้องป้อนอาหารเขาด้วย เพราะเขาแย่มาก”

บ้านใหม่ปลอดเชื้อราและทัวร์ทำเงิน ช่วยให้มิกฟื้นคืนชีพ และเขาสนุกสนานในมอตลีครูได้เป็นครั้งแรกในรอบหลายปี พวกเขาเรียกทัวร์ว่า Carnival of Sins และเป็นข้ออ้างให้มิกแต่งหน้าแบบที่เขาชอบ “ผมต้องแต่งหน้าเป็นตัวตลกและสนุกไปกับมัน” เขากล่าว “ผมรู้สึกเป็นอิสระจริงๆ”

ในปี 2007 เมื่อมอตลีครูเดินทางไปยุโรปเพื่อเล่นงานเมทัลเฟสติวัล มิกได้พบกับ เซไรนา โชนเนนเบอเกอร์ นางแบบวัย 23 ปีที่เขาคุยด้วยบน Myspace เมื่อไม่กี่เดือนก่อนหน้านั้น เซไรนาตอบกลับสิ่งที่เขาโพสต์ครั้งหนึ่ง ซึ่งทำให้มิกส่งข้อความถึงเธอโดยตรง 

ทั้งสองอยู่ด้วยกันตั้งแต่นั้นมา

ในปี 2013 ทั้งคู่ย้ายจากมาลิบูไปยังชานเมืองแนชวิลล์เพื่อค้นหาที่พักที่เงียบสงบและมีพื้นที่มากขึ้น พวกเขาใช้เวลาในปีที่ผ่านมาในการเพิ่มอ่างน้ำร้อนและสระน้ำขนาดใหญ่ลึก 9 ฟุตครึ่งที่สวนหลังบ้านขนาดมหึมาของพวกเขา เซไรนาดูแลทุกขั้นตอนของกระบวนการ วันนี้วุ่นวาย เมื่อทีมก่อสร้างรอเติมรถบรรทุกน้ำ ในขณะที่เซไรนาดูเหมือนจะอยู่ในหกแห่งพร้อมกัน เธอวิ่งขึ้นบันไดเพื่อตอบคำถามทีมงานก่อสร้าง วิ่งมาเมื่อฟิวส์ขาดในโฮมสตูดิโอขอ มิกเพื่อรีเซ็ตเบรกเกอร์และอุปกรณ์ทั้งหมด คอยดูหมูบนตะแกรงบาร์บีคิวต่อเนื่อง และยกเก้าอี้ขึ้นขนาดเป็นสองเท่าของเธอลงบันไดแคบๆ เธอเรียกมิกอย่างสนิทสนมว่า “มาร์สแมน” และหยุดทุกอย่างทันทีที่เธอสัมผัสได้ว่าเขาต้องการอะไร

มิกใช้เวลาแห่งความสุขมากมายกับเซไรนาหลังจากที่มอตลีครูเกษียณจากการทัวร์ในปี 2015 หลังจาก “ทัวร์อำลา” ที่ยาวนาน วงดนตรีได้เซ็นสัญญา “ข้อตกลงยุติการทัวร์” โดยอ้างว่ามีผลทางกฎหมายไม่ให้พวกเขาแสดงสดในนามมอตลีครูอีก แต่พวกเขาปฏิเสธที่จะแบ่งปันเอกสารกับสื่อ และดูเหมือนว่าเป็นเพียงการโฆษณาเพื่อเพิ่มยอดขายตั๋ว มิกสาบานว่าเขาเชื่อว่าเป็นเรื่องจริง โดยชี้ไปที่บทสัมภาษณ์ของเขาในปี 2014 ซึ่งเขาบอกว่าเขาจะซื้อตั๋วฟรีให้กับทุกคนหากพวกเขาออกทัวร์อีกครั้ง “นั่นคือความมั่นใจว่าเราจบจริง ๆ” เขากล่าว “ผมคิดว่าเรามีสัญญาจริง”

แต่ก็เหมือนกับการ “อำลา” เกือบทั้งหมด มอตลีครูกลับมาออกทัวร์ในปี 2022 โดยอ้างว่าภาพยนตร์ Netflix ในปี 2019 เรื่อง The Dirt ได้กระตุ้นความสนใจที่พวกเขาไม่อาจเพิกเฉยได้ “เมื่อภาพยนตร์เรื่องนี้ออกฉาย ผมรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป” มิกกล่าว “ผมยอมจำนนต่อความจริงที่ว่าต้องออกทัวร์อีกครั้ง แต่ผมเกือบจะหมดความตั้งใจแล้ว”

การอยู่ห่างจากรถทัวร์ สนามบิน และโรงแรมถึงเจ็ดปี ไม่ต้องพูดถึงเพื่อนร่วมวงของเขา ก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้ มิกเชื่อมั่นว่าเขาไม่อยากกลับไปสู่ท้องถนนอีก ก่อนการซ้อม เขาบอกวงดนตรีว่านี่เป็นทัวร์ครั้งสุดท้ายของเขา “ผมพูดว่า ‘พวกคุณ ผมยังไม่ลาออก’” มิกเล่า “’คุณต้องการย้ายไปปักหลักเล่นที่เวกัสหรือบันทึกเพลงใหม่หรือไม่? ผมจะทำ คุณต้องการให้เล่นเป็นบางครั้ง ผมจะอยู่ที่นั่น แต่ผมไม่สามารถเดินทางรอบโลกนี้ได้อีกต่อไป ‘”

โรคร้ายดำเนินไปถึงจุดที่เขาไม่สามารถขยับศีรษะจากด้านหนึ่งไปอีกด้านได้อีกต่อไป และทำให้หลังค่อมถาวร เขาเตี้ยกว่าตอนเรียนมัธยมอย่างน้อยสามนิ้ว “ตอนนี้กระดูกสันหลังของผมกลายเป็นกระดูกแข็งไปแล้ว” เขากล่าว “รู้สึกเหมือนมีก้อนถ่านหนัก 40 ปอนด์มัดไว้ที่หน้าผากของผมด้วยเชือกตลอดเวลา คอยดึงมันลงมา”

เขาผ่านการแสดงทุกคอนเสิร์ต – เขาตกลงที่จะเล่นเพียง 12 คอนเสิร์ต แต่ขยายไปถึง 36 คอนเสิร์ต – ในสภาพที่เจ็บปวดแทบขาดใจ (เมื่อถึงจุดนี้ กระดูกสันหลังของเขาแทบจะกลายเป็นรูปเครื่องหมายคำถามแล้ว) แต่การดูวิดีโอของตัวเองในสภาพทรุดโทรมนั้นกลับเจ็บปวดยิ่งกว่า “ผมดูเหมือนโครงกระดูก” เขากล่าว “ผมเกลียดสิ่งที่เห็นในวิดีโอ แต่ผมปฏิเสธที่จะใช้ไม้เท้า ปฏิเสธที่จะใช้รถเข็น ถ้าขึ้นไปเองไม่ได้ ก็ไม่ทำ ผมไม่ชอบรูปลักษณ์ของตัวเอง และผมรู้สึกอึดอัดมากที่เห็นตัวเองอยู่บนเวทีแบบนั้น”

มอตลีครูเผยแพร่ข่าวเมื่อวันที่ 27 ตุลาคม 2022 ว่า “แม้ว่าการเปลี่ยนแปลงจะไม่ง่าย แต่เรายอมรับการตัดสินใจของมิกที่จะออกจากวงเนื่องจากปัญหาสุขภาพของเขา” วินซ์ นีล, ทอมมี ลี และ นิกกี ซิกซ์เขียนในแถลงการณ์ “เราจะทำตามความปรารถนาของมิกและออกทัวร์คอนเสิร์ตทั่วโลกต่อไปตามแผนในปี 2023” 

การไม่มีคำแถลงของมิกเป็นเรื่องน่าสงสัย และแฟนๆ ได้ทราบเรื่องราวทั้งหมดในวันที่ 6 เมษายน 2023 เมื่อมิกยื่นฟ้องวง โดยกล่าวหาว่าพวกเขาขับไล่เขาออกจากวงอย่างผิดกฎหมายและตัดผลกำไรในอนาคตจากทั้งเจ็ดบริษัทของวง เอกสารความยาว 29 หน้า เน้นย้ำถึงช่วงเวลาที่เลวร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์ของวงและวาดภาพ วินซ์ นีล, ทอมมี ลี และ นิกกี ซิกซ์ในแง่ลบที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้

“สมาชิก 2 คน (ไม่ใช่ มิก มาร์ส) ติดเฮโรอีนตลอดอาชีพการงาน และคนหนึ่งติดแอลกอฮอล์อย่างรุนแรงอย่างต่อเนื่อง” หนึ่งในคำฟ้องเขียนไว้แบบนั้น “สมาชิกวงอีกคน (ไม่ใช่ มิก มาร์ส) ถูกคุมประพฤติหลายครั้งจากเหตุการณ์รุนแรงหลายครั้ง และท้ายที่สุดถูกตัดสินว่ามีความผิดทางอาญาฐานทำร้ายร่างกายภรรยาด้วยการเตะภรรยาซ้ำหลายครั้งในขณะที่เธออุ้มลูกวัย 7 สัปดาห์ของพวกเขา”

“หากมิกกล่าวถึงเรื่องเหล่านี้ในบทความหรือจดหมาย เขาจะต้องรับผิดในคดีความ” อัลเลน โควัค ผู้จัดการของมอตลีครูกล่าว “แต่ในแคลิฟอร์เนีย สิ่งใดที่เขียนในคำร้องทางกฎหมายจะได้รับการคุ้มครองจากกฎหมายหมิ่นประมาท นี่ไม่ใช่เรื่องจริง เป็นอุบายสำหรับเรียกความสนใจจากสื่อ หากเป็นคดีจริง เขาคงยื่นคำร้องในชั้นอนุญาโตตุลาการแล้ว และเขาก็จะได้เอกสารเหล่านี้อยู่ดี เพราะเราไม่มีอะไรต้องปิดบัง”

ส่วนหนึ่งของการยื่นฟ้องของมิกที่สร้างความสนใจมากที่สุด เป็นเรื่องการเล่นเบสของ นิกกี ซิกซ์ ในทัวร์ปี 2022 “[นิกกี] ไม่ได้เล่นเบสแม้แต่โน้ตเดียวตลอดทัวร์อเมริกาทั้งหมด” เนื้อหาในคำร้องกล่าว “ร้อยละร้อยของเสียงเบสของ นิกกี ไม่มีอะไรอื่นนอกจากการบันทึกเสียง”

วงตอบโต้ด้วยคำสาบานหนักแน่นจากทีมงานเจ็ดคนที่อ้างว่า นิกกี ซิกซ์ เล่นเบสสดจริงๆ และมิกมักจะเป็นคนลืมเพลงหรือเล่นผิด มิกไม่ปฏิเสธว่าบางครั้งเขามีปัญหาบนเวที แต่มีคำอธิบายที่เลวร้ายยิ่งกว่านั้น “ผมถูกก่อวินาศกรรมทางดนตรี พวกเขาจะได้มีข้ออ้างกำจัดผมและรับคนอื่นเข้ามา” เขากล่าว “เสียงกีตาร์ในอินเอียร์มอนิเตอร์ของผมแย่มาก มันจะแตกพร่า และไม่มีใครมีปัญหาแบบนั้นนอกจากผม จากนั้นพวกเขาก็เปลี่ยนไปใช้สิ่งที่บันทึกไว้ล่วงหน้าจากการซ้อม พวกเขาทำเพื่อทำให้ผมดูแย่”

“บ้าไปแล้ว” นิกกีโต้กลับ “ทำไมเราถึงทำอย่างนั้นกับแฟน ๆ ของเรา? มันน่าสะเทือนใจจริงๆ ที่มิกและตัวแทนของเขาโกหกแฟนๆ ในขณะที่เราพยายามปกป้องมรดกของเขา เพื่อน เรารักเขาจริง ๆ มันน่ากลัวอยู่นะ  [เขา] อยู่ในภาพหลอนนี้ เมื่อมิกเข้ามาซ้อมเขาเล่นกีตาร์ไม่ถนัด เขาทำมันไม่ได้ เราจึงต้องเอาเอาเสียงจากเทปมาปิดมันไว้ เขาเป็นคนเดียวในวงที่ต้องใช้เสียงจากเทป”

วงมอตลีครูอธิบายว่า มิกชราและสับสน แต่ แอนดี กรีน บันทึกไว้ว่า เขาไม่เห็นสิ่งเหล่านั้นในช่วงเวลาที่เขาได้อยุ่กับมิก อาจจะมีปัญหาบ้างเล็ก ๆ ในเรื่องคำหรือชื่อเพลง แต่แอนดียืนยันว่า มิกเฉียบคม ตลก และมีสมาธิ บอกเล่าเรื่องราวจากหลายทศวรรษที่ผ่านมาด้วยรายละเอียดที่ชัดเจน เขาเดินขึ้นลงบันไดหลายขั้นในบ้านโดยต้องให้ใครช่วยเหลือ แน่นอนว่าเขาอ่อนแอ และแทบจะยืนได้ไม่นานกว่าสองสามนาทีต่อครั้ง แต่ดูเหมือนว่าเขาจะควบคุมความคิดสติปัญญาได้อย่างสมบูรณ์

อย่างไรก็ตาม เรื่องนี้เล็กน้อย เมื่อพูดถึงคำถามทางกฎหมายที่สำคัญว่าสมาชิกในวงสามารถลบ มิก มาร์ส ออกจาก บริษัท และปฏิเสธการจ่ายเงินของเขาฝ่ายเดียวได้หรือไม่ พวกเขาชี้ไปที่เอกสารวงดนตรีปี 2008 ที่ทุกฝ่ายลงนามซึ่งระบุว่า “ไม่ว่าในกรณีใดผู้ถือหุ้นที่ลาออกจะไม่มีสิทธิ์รับเงินใด ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการแสดงสด (เช่นทัวร์)”

ฝั่ง มิก มาร์ส ตอบโต้ว่าเขาไม่ใช่ “ผู้ถือหุ้นที่ลาออก” แต่เป็นเพียงสมาชิกวงที่ไม่สามารถเข้าร่วมทัวร์ได้ “หาก เจฟฟ์ เบซอส ตัดสินใจว่าเขาไม่ต้องการเป็นพนักงานของอะเมเซอนอีกต่อไป เขาก็ยังมีหุ้นอยู่” เอ็ด แม็กเฟียร์สัน ทนายความของ มิก มาร์ส กล่าว “ไม่มีใครเอาสิ่งนั้นไปจากเขาได้ ผมไม่เข้าใจว่าทำไมคนเหล่านี้ถึงคิดว่าเพราะมิกไม่ได้ออกทัวร์ เขาจึงไม่ได้เป็นเจ้าของหุ้นของเขา”

“มีเอกสารที่มิกเซ็น” ซาชา ฟริด ทนายความของมอตลีครูกล่าว “ถ้าคุณลาออกจากการทัวร์ คุณจะไม่ได้มีส่วนร่วม [ในการทำกำไร] คุณต้องไม่นั่งอยู่ที่บ้านหรือในบริษัทใด ๆ เมื่อรับเช็คเงินเดือนถ้าคุณไม่ได้ออกทัวร์ มันไม่สมเหตุสมผลเลย”

ในขณะที่มอตลีครูกำลังบันทึกเสียงเพลงใหม่และทัวร์ยุโรปกับ จอห์น 5 ทางฝ่าย มิก มาร์ส กำลังมองหาบริษัทเพื่อปล่อยอัลบั้ม Another Side of Mars แต่อย่าคาดหวังว่าจะได้เห็นเขาออกทัวร์เล่นเพลงเหล่านี้ “ผมไม่อาจออกทัวร์อีกแล้ว” เขาพูด “ถ้าเป็นแค่การแสดงสักครั้งหรือสองครั้ง ผมก็คงทำได้ แต่เรื่องการเดินทางและเครื่องบินทั้งหมดนั้น … ผมไม่ทำอีกแล้ว”

เงินไม่ใช่ปัญหา เนื่องจากการทัวร์ในปี 2022 ทำรายได้ถึง 173.5 ล้านดอลลาร์ มิก มาร์ส ได้ส่วนแบ่ง 1 ใน 4 ของรายได้ของมอตลีครู 

ระหว่างที่ แอนดี กรีน กำลังเลือกเพลงจากอัลบั้มเดี่ยวของมิก ก็มีอีเมลเข้ามาในกล่องจดหมายของมิกซึ่งทำให้เขายิ้มกว้าง “ผมขายเพลงของผมได้แล้ว!” เขาพูดอย่างตื่นเต้น“ข้อตกลงเพิ่งเสร็จสิ้น ตอนนี้ผมสามารถผ่อนคลายและไม่ต้องกังวลอะไรแล้ว เพราะอย่างที่ผมพูด ผมอาจจะมีชีวิตอยู่ได้อีกเจ็ดหรือแปดปี”

“ผมแก่มากแล้ว” เขาพูด “และคงจะอยู่ไม่ถึง 85 หรือ 90 ผมรู้สึกแบบนั้น และไม่ต้องการแบบนั้นเหมือนกัน สมองผมบอกว่าไม่ต้องการร่างกายที่น่าเกลียดนี้ มันแย่เกินกว่าจะใช้มันต่อไป ผมได้แต่หวังว่าจะเอาข้อมูลออกจากสมองไปใส่ไว้ในชิป แล้วใส่คนอื่นหรือหุ่นยนต์ ยังมีอะไรอีกมากมายอยู่ในนั้น”

ขณะที่ผมออกจากบ้านของเขา รถบรรทุกน้ำขนาดใหญ่ก็ขับเข้ามา เพื่อปล่อยน้ำลงสระว่ายน้ำของเขาเป็นครั้งแรก ภรรยาของเขากำลังพูดถึงการว่ายน้ำในวันเกิดในคืนนั้น และคำถามสุดท้ายที่แอนดี ถามมิกก็คือ มีคำแนะนำอะไรที่เขาจะให้ตัวเองในปี 1981 ช่วงเวลาที่มอตลีครูกำลังตั้งวง

“ก้าวร้าวขึ้นอีกเล็กน้อย” มิกกล่าว “อย่าทำตัวเป็นกลาง เป็นกระบอกเสียงให้กับตัวคุณเอง ผมไม่ชอบความขัดแย้ง แต่ถ้าผมกลับไปได้ ผมจะมีส่วนร่วมมากกว่านี้”

เมื่อแอนดีถามว่าเขาเคยเสียใจไหมที่เข้าร่วมวง มิกหยุดนิ่ง ดวงตาของเขาว่างเปล่า เราคงจินตนาการได้ว่าประวัติศาสตร์ทั้งหมดของวงหมุนวนอยู่ในหัวของเขา — สี่ทศวรรษแห่งความสำเร็จอันยาวนาน เกินขนาด ใช้ยาเกินขนาด โทษจำคุก การล้มละลาย และการต่อสู้อันขมขื่นที่นำไปสู่กฎหมายปัจจุบันนี้ การต่อสู้ สิบเอ็ดวินาทีผ่านไปอย่างช้าๆ ก่อนที่เขาจะตอบกลับ “ไม่เชิง” เขาพูด “เราแตกต่างออกไปเมื่อเราออกมาจากซันเซ็ตสตริป มันอาจจะเป็นเรื่องทุลักทุเล หนักหนาสาหัสและยากที่จะรับมือ แต่ผมได้เห็นโลกและเล่นกับวงที่ประสบความสำเร็จ ดังนั้นผมจึงไม่เสียใจอะไร … นอกจาก Generation Swine”

————- 

 แปล/เรียบเรียง จากบทความโรลลิงสโตน

Leave a Reply

Scroll to top
%d bloggers like this: