Rainbow with Graham Bonnet
จุดเปลี่ยนทางอาชีพของ แกรห์ม บอนเน็ต เกิดขึ้นเมื่อเขาก้าวเข้ามาเป็นนักร้องนำในวงเรนโบว์ (Rainbow) จากนักร้องเพลงป็อปกลายเป็นซูเปอร์สตาร์ในสายฮาร์ดร็อก
Rainbow
วงเรนโบว์ก่อตั้งโดย ริตชี แบล็กมอร์ อดีตมือกีตาร์ดีพเพอเพิล มี รอนนี เจมส์ ดีโอ ผู้มีเสียงร้องทรงพลังจากวง เอลฟ์ เป็นนักร้องนำ ช่วงแรกผลงานออกมาทางเฮฟวีเมทัลที่หนักแน่น ตั้งแต่อัลบั้มแรก ริตชี แบล็กมอร์ส เรนโบว์ (1975) จนถึง ลองลีฟร็อกแอนด์โรล (1978) ประสบความสำเร็จด้วยดี ได้รับเสียงวิจารณ์ด้านบวกจากทั่วสารทิศ
แต่กระนั้น ริตชี แบล็กมอร์ ยังไม่พอใจยอดจำหน่าย เขาคิดถึงการประสบความสำเร็จทางการตลาดที่เคยลิ้มรสมาก่อนสมัยทำวงดีพเพอเพิล และคิดว่าการเขียนเนื้อเพลงแนว พ่อมด อัศวิน ที่ รอนนี เจมส์ ดีโอ ชื่นชอบน่าจะหมดไปเสียที แน่นอนว่ารอนนีไม่เห็นด้วย เขาคิดว่ามันคือจุดแข็ง และมันเป็นสไตล์!!
เมื่อสมาชิกเรนโบว์กลับมารวมตัวเพื่อเตรียมทำอัลบั้มใหม่ที่คอนเน็กติกัต รอยร้าวระหว่างรอนนีกับริตชีก็เห็นได้ชัดเจน
กรกฎาคม ค.ศ. 1978 บรูซ เพน ผู้จัดการวงเรนโบว์ขอให้ โรเจอร์ โกลเวอร์ มือเบสดีพเพอเพิลลองมาดูการแสดงของวงเรนโบว์ที่ชิคาโก และถามความเห็นว่าเขาพอจะช่วยควบคุมดูแลการผลิตอัลบั้มได้หรือไม่ ในเวลานั้น สมาชิกเรนโบว์ก็มี ริตชี แบล็กมอร์ รอนนี เจมส์ ดีโอ โคซี พาวล์ และ บ็อบ ไดสลีย์
ความจริงริตชีมีปัญหากับ เอียน กินแลน และ โรเจอร์ ในสมัยก่อนออกจากวงดีพเพอเพิล เมื่อดีพเพอเพิลจบการแสดงที่โอซากาแล้วริตชีประกาศว่าเขาจะลาออกจากวง หรือไม่อย่านั้น โรเจอร์กับเอียนก็ต้องออกจากวงไป ซึ่งในเวลานั้น เอียนและโรเจอร์เป็นฝ่ายที่ต้องออกจากวง
“มันเป็นโอกาสที่ดีสำหรับผม ทำไมผมจะต้องเคียดแค้น [ที่โดนไล่ออกจากดีพเพอเพิลในปี 1973] โรเจอร์อธิบาย “ผมเป็นแฟนตัวยงของริตชี และอิทธิพลที่ยิ่งใหญ่ที่สุดบางส่วนของผม ก็มาจากเขา” (นิตยสารคลาสสิกร็อกฉบับที่ 234)
โรเจอร์บินตรงจากเกาะอังกฤษมาคอนเน็กติคัตเพื่อช่วยเพื่อนเก่าบันทึกเสียงอัลบั้มใหม่
“รอนนีกับริตชีขาดการพูดคุยสื่อสารระหว่างกัน” โรเจอร์ บอก “ริตชีจะทำริฟฟ์แล้วก็หาไอเดียทำเพลง ส่วนรอนนีจะอยู่ที่มุมห้องเขียนเนื้อเพลงไปตามเรื่อง เขาไม่ค่อยลองร้องเพลงออกมาหรอก แต่ถ้าเขาร้อง ก็จะร้องแบบไม่มีหัวจิตหัวใจ เวลาผมอยู่กับริตชีที่บ้านเขาก็จะบอก -นี่ ผมมีไอเดียสำหรับเพลง- แล้วเขาก็เอาเทปคาสเซตต์ให้ผม ผมก็ต้องเอาเทปนั่นไปที่บ้านรอนนี แล้วบอก -ริตชีอยากให้คุณฟังนี่- เขาก็จะฟังแล้วก็บอก -ไม่ ผมไม่ชอบเพลงนี้ นี่ ผมมีไอเดียแบบนี้…- แล้วก็เอาเทปคาสเซตต์เพลงของเขาให้ผมไปให้ริตชี ซึ่งพอริตชีฟังเขาก็บอกว่า -นี่ไม่ใช่ไอเดียอะไร มันแค่ริธึม- วันหนึ่งผมตื่นมา บรูซ เพน ผู้จัดการวงก็บอกว่า เออ มันจบแล้ว รอนนีออกจากวงแล้ว ทุกคนออกจากวงไปหมดแล้วยกเว้นริตชีกับ โคซี พาวล์”
ดอน แอรี มือคีย์บอร์ดเข้ามาร่วมงานกับเรนโบว์ในช่วงธันวาคม ค.ศ. 1978 เขาเล่าว่า “ผมพูดกับริตชีว่า แล้วรอนนีล่ะ เขาจะกลับมามั้ย ริตชีตอบประมาณว่า ไม่ เขาไปแล้ว แค่นั้นเอง ผมไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น จนถึงป่านนี้ก็ยังไม่รู้” (ให้สัมภาษณ์นิตยสารคลาสสิกร็อกปีค.ศ. 2014)
“ริตชีเป็นคนมีเสน่ห์” ดอน แอรี เยินยอเพื่อนร่วมวง “แต่เขาเป็นคนที่ร่วมงานด้วยลำบาก มันมีความโศกเศร้าอะไรมากมายสำหรับเขา เหมือนว่าเขาต้องการความสงบสุขหรือว่าอะไรบางอย่าง เราเริ่มที่เวลา 11 นาฬิกา แล้วก็ทำงานไปจนถึงตีสอง เวลามันผ่านไปเร็วเหลือเกิน คุณต้องทำใจมากถ้าต้องทำงานวันละ 14 ชั่วโมง”
ริตชีจะบอกสิ่งที่ต้องการผ่านบรูซ เพน ซึ่งบรูซจะนำคำนั้นไปบอกโรเจอร์ แต่ดอนบอกว่า มันไม่ได้เป็นเผด็จการอย่างที่ใครคิด “มันไม่ได้เป็นอย่างที่คุณคิด มันคงออกมาไม่สวยถ้าใครบางคนตั้งต้นเป็นเผด็จการ และริตชีไม่ใช่คนแบบนั้น เขาเป็นคนเปิดกว้างพร้อมรับความคิดจากทุกคน และจะยินดีถ้าคุณส่งอะไรให้เขา ก็เหมือนมือกีตาร์ทุกคน เขาจะทำเหมือนไม่ฟังว่าคุณบอกอะไร แต่วันต่อมาเขาจะทำเหมือนว่ามันเป็นไอเดียของเขา”
ถึงคริสมาสต์ โรเจอร์ ดอน และ โคซี ย้อนกลับไปอังกฤษ ทั้งที่ไม่รู้ว่าทำอะไรไว้บ้าง รู้เพียงว่าเพลงที่ทำมันป็อปกว่าเดิม เพลงที่ไม่มีเนื้อร้องและไม่มีคนร้อง เพราะรอนนีได้จากไปแล้ว ในตอนแรก ริตชีนึกถึง เอียน กิลแลน แต่เอียนปฏิเสธไม่มาร่วมงานกับริตชี
แกรห์ม บอนเน็ต
เรนโบว์ย้ายที่ทำงานไปชาตูเพลลีดูคอนฟิลด์ ทางตอนใต้ของฝรั่งเศส ใกล้พรมแดนสวิส โดยมี แจ็ก กรีน มือเบสที่ริตชีว่าเหมาะสำหรับเรนโบว์ และเริ่มมองหานักร้องนำคนใหม่ โดยเปิดสตูดิโอทดสอบเสียงร้องที่นครเจนีวา
“มีคนมาหลายคน บางคนก็เป็นนักร้องเยี่ยม มาร์ก สโตเรซ (วงครอคัส) ก็มา เขามีความเป็นนักดนตรีสูง เขาเอาฟลุตมาด้วย ผมไม่คิดว่าริตชีจะชอบหรอกนะ” ดอน แอรี บอก
“มันมาถึงจุดที่ว่าเรายกเลิกการให้คนมา (ที่เจนีวา) แล้วก็ค้นหากันทางโทรศัพท์” โรเจอร์เล่า “ริตชีก็อยู่ที่นั่นพร้อมกับกีตาร์โปร่ง ผมจะเป็นคนถือโทรศัพท์ แล้วริตชีจะเริ่มดีดกีตาร์ พวกนั้นจะต้องร้องให้ได้ ซึ่งมีไม่กี่คนหรอกที่ช่วงเสียงโน้ตใช้ได้”
และขณะที่สมาชิกวงกำลังปรึกษาเรื่องนักร้องนำ โคซีมีเทปเพลงเก่าจากวงเดอะมาร์เบิลส์ซึ่งพอจะมีชื่อเสียงบ้างในช่วงปลายทศวรรษ 1960 ซึ่งริตชีดูจะสนใจนักร้องนำ แกรห์ม บอนเนต ชายผู้ซึ่งใช้ชีวิตอย่างอิสระเสรี ไม่มีความกังวลเรื่องอาชีพ ถ้าเขาไม่ร้องเพลงก็ดื่มเหล้า หาเรื่องสนุกสนานทำ ไม่เคยรู้ว่าตัวเองทำเงินได้เท่าไหร่ และจะว่าไป เขาไม่เคยสนใจดนตรีร็อกเลยด้วยซ้ำ เมื่อเขาได้รับการทาบทามให้มาทดสอบกับวงเรนโบว์ เขาคิดว่าว่าเรนโบว์เป็นวงโฟล์ก “ก็ชื่อแบบนี้มันใช่ ยังงี้ไง โอ…สายรุ้ง” แกรห์มหัวเราะ เขารู้ว่าริตชีเป็นใคร แต่ไม่เคยฟังรอนนี เจมส์ ดีโอ จนผู้จัดการคะยั้นคะยอว่าเป็นความคิดที่ดีเขาจึงออกไปหาแผ่นเสียงของเรนโบว์มาฟัง
เมื่อแกรห์มมาถึง หลายคนผิดหวัง การตัดผมสั้นดูเนี้ยบไม่เข้ากับสมาชิกวงคนอื่น ภาพลักษณ์ของเขาไม่เหมือนนักดนตรีฮาร์ดร็อกแม้แต่น้อย
“แกรห์มมาถึง ก็เดินไปเดินมาที่อีกด้านหนึ่งของห้อง ตอนที่เริ่มท่อนอินโทรผมก็คิดว่า เขาเข้าเพลงไม่ทันคงลืมแน่นอน แต่พอมาถึงจุดที่ต้องร้อง เขาเดิมข้ามห้องมาคว้าไมก์แล้วก็ร้องได้เยี่ยมไปเลย” โรเจอร์เล่า
“พอเขาร้อง เราทุกคนประหลาดใจ ราวกับโลกหยุดหมุน” ดอน แอรี บอก
แกรมห์เดินทางกลับลอนดอน พร้อมกับความรู้สึกไม่แน่ใจว่าเขาอยากรับงานนี้ เหตุผลตั้งแต่สมาชิกวงเรนโบว์เป็นนักดนตรีร็อกผมยาว แต่แกรห์มไว้ผมสั้นแต่งตัวแบบนักดนตรียุค 1950 สไตล์ดนตรีก็แตกต่างกันตามรสนิยม
“พวกเขาเหมือนมนุษย์ต่างดาวสำหรับผม” แกรห์มบอก “เหมือนว่าทุกคนจะเป็นกึ่งนักดนตรีคลาสสิคัล ผมบอกผู้จัดการของผมว่า ผมไม่คิดว่าผมจะเข้ากับพวกเขาได้ แต่ผู้จัดการคิดว่าเราน่าจะทำเงินได้จากงานนี้ เขาบอกว่า คุณต้องรับงานนี้นะ”
แกรห์มจึงต้องกลับไปฝรั่งเศสเพื่อร่วมงานกับเรนโบว์ และต้องเข้าไปทำงานในปราสาทที่เขาไม่ชอบเอาเสียเลย “มันแย่มาก ไม่มีใครอยากทำอะไรหรอก บรรยากาศมันน่าหดหู่ มันน่าขนลุกและมันไม่ควรที่จะทำอะไรที่นั่น”
ปราสาทแห่งนี้มีลักษณะคล้ายปราสาทผีสิงตามภาพยนตร์สยองขวัญทั่วไป ครั้งหนึ่ง ดอน แอรี นอนในห้องนอนที่เรียกว่า เดอะชาเปล เพียงคนเดียวลำพังเพราะไม่มีใครสนใจอยากนอนด้วย เขาเคยหวั่นผวาเมื่อเจอเงาดำทะมึน แต่ปรากฏว่าเป็นโคซีที่ใส่เสื้อมีฮู้ดคลุมหัว
เมษายน ค.ศ. 1979 เรนโบว์ย้ายไปทำงานทีคิงดอมซาวนด์สตูดิโอส์ในลองไอซ์แลนด์ โรเจอร์ โกลเวอร์ต้องรับหน้าที่เขียนเนื้อเพลงโดยที่ริตชีไม่ได้คัดค้านอะไร แถม แจ็ก กรีน เล่นเบสไม่ได้อย่างใจโรเจอร์เลยเล่นเบสเองทั้งหมด

และในที่สุด โรเจอร์ก็มาเป็นมือเบสของวงอีกตำแหน่งนอกเหนือจากการเป็นผู้ดูแลการผลิต
“ผมเคยคิดว่าเป็นดอน หรือโคซี แต่ดอนบอกผมเมื่อสักสัปดาห์ที่แล้วว่าแกรห์มเป็นคนเสนอ” โรเจอร์เล่า “เขาบอกกับริตชี ทำไมไม่ให้โรเจอร์อยู่ในวง เขาเขียนเพลง เขาเล่นเบส แล้วบรูซก็เข้ามาเจรจากับผม ผมก็ตอบไปว่า ตกลง”
“โดยหลักแล้วก็มีโรเจอร์กับผมที่ต้องคอยเดาใจว่าริตชีจะไปทางไหน เพราะว่าเขาไม่ค่อยบอกอะไรตรง ๆ” แกรห์มเล่า “เขาแค่จะบอกว่า “โอ ผมรักเสียงของคุณ ขอให้มีช่วงเวลาดี ๆ” คนส่วนมากมักคิดว่าเขาเป็นพวกมืดหม่น ชั่วร้ายและลึกลับ แต่เขาไม่ได้เป็นแบบนั้นหรอก”
แกรห์มร้องเพลง “ออลไนต์ลอง” ตอนแรกริตชีเล่นริฟฟ์โดยกีตาร์โปร่ง คล้าย กับ “เอาต์ออฟไทม์” ของ คริส ฟาร์โลว์ แต่โรเจอร์จัดการมันให้ออกมาอย่างที่ได้ยิน “สมัยนั้นผมดื่มจัดมาก” แกรห์มเล่า “ผมเละเทะไปเลย แต่ไม่เคยทำให้เสียงร้องของผมมีปัญหา ผมโชคดีจริง ๆ ที่มีคนยอมรับนับถือผมอย่างนั้น”
“ผมไม่อยากทำให้มันเละเทะ” แกรห์มบอก “โรเจอร์จะบอกแนวคิดพื้นฐานและผมก็ต้องทำมันต่อไป แต่เรามักจะหยุดถามกันว่า ตรงนี้คืออะไร? หลายเพลงเราทำในสตูดิโอ เวลาที่เสร็จแล้วผมก็คิด โอ ผมหวังว่ามันจะดีพอนะ คนบอกว่ามันดี แต่ตอนแรกผมต้องถามก่อน”
เพลงเด่นของอัลบั้มคือ “ซินซ์ยูบีนกอน” เพลงเก่าของรัส บัลลาด (อดีตมือกีตาร์วงอาร์เจนต์) อยู่ในอัลบั้ม วินนิง ปีค.ศ. 1976
“คืนหนึ่งผมอยู่กับบรูซ” โรเจอร์บอก “แล้วเขาก็เล่นเพลงนี้ ซินซ์ยูบีนกอน เขาถามว่า ถ้าเรนโบว์จะเล่นเพลงนี้ล่ะ ผมบอกว่าริตชีคงไม่เล่นเพลงนี้หรอก บรูซยิ้มแล้วบอก เขาจะต้องทำ เขาอยากจะไปอีกระดับหนึ่งและต้องการเพลงที่เข้าถึงคนง่าย เพื่อจะได้ประสบความสำเร็จมากยิ่งขึ้นกว่านี้”
คนที่ต่อต้านเพลงนี้ก็มีโคซี พาวลล์ “ทุกคนจากไปยกเว้นโคซี ผมบอกว่า เราต้องใส่กลองในเพลงนี้ บรูซบอกผมว่าเราต้องทำ ริตชีก็อยากทำ แต่เขาตีกลองห่วยมาก ผมบอกเขาว่า อยากได้อีกสักรอบ เขาก็ตีให้ แต่มันพื้น ๆ มาก ไม่มีความรู้สึกหรือว่าอารมณ์อะไรเลย
“ริตชีเล่นกีตาร์ได้เยี่ยม ผมใส่เสียงตบมือ แทมโบรีน วอบเบิลบอร์ด เราขโมยสไตล์ของ เคนนี ล็อกกินส์ ช่วงต้น ที่ร้อง “โว้…โอ..” ทำให้เพลงมันตลาดอย่างที่เราต้องการ”
ดาวน์ทูเอิร์ธ วางจำหน่ายเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 1979 จำหน่ายได้ 120,000 แผ่นในสัปดาห์แรกในอังกฤษ และ “ซินซ์ยูบีนกอน” ขึ้นอันดับ 6 ในอังกฤษ ประสบความสำเร็จทางการตลาดแบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
ถึงอัลบั้มจะประสบความสำเร็จแต่สมาชิกยุคนี้ก็ออกทัวร์ร่วมกันเพียงรอบเดียว แกรห์มไม่เคยออกทัวร์แบบนี้มาก่อน และกังวลว่าเขาจะทำได้หรือไม่ ส่วนริตชีก็กังวลกับภาพลักษณ์ของแกรห์มทั้งผมสั้น และเสื้อผ้าสไตล์ 1950 ซึ่งต่างไปจากสไตล์ของวงและภาพรวมของวงดนตรีสไตล์ฮาร์ดร็อกในยุคนั้น
“มันกลายเป็นประเด็น ทรงผมของแกรม ทรงผมของแกรห์ม ประชุมวง แล้วประชุมวงเรื่องอะไร ทรงผมของแกรห์ม มันเป็นประเด็นไปซะงั้น” แกรห์มเล่าความหลัง
บรูซ เพน ผู้จัดการของวง คุยกับ พอล ลอสบี ซึ่งดูแลเรื่องการทัวร์คอนเสิร์ตในสหราชอาณาจักรว่า น่าจะปิดท้ายการทัวร์ให้มันยิ่งใหญ่หน่อย แล้ว พอลก็มีไอเดียให้เรนโบว์เป็นวงปิดท้ายเทศกาลดนตรี และนั่นก็คือ มอนสเตอรส์ออฟร็อกครั้งแรกที่โดนิงตันปาร์ก ในวันที่ 16 สิงหาคม ค.ศ. 1980 วงดนตรีที่เข้าร่วมเทศกาลดนตรีนี้ล้วนแล้วแต่เป็นวงดนตรีที่แข็งแกร่งแนวหน้า ทั้ง จูดัสพรีสต์ แซกซอน ตัวโคซีซึ่งเป็นคนชอบรถแข่งเป็นชีวิตจิตใจสนใจเทศกาลดนตรีนี้เป็นพิเศษ เพราะโดนิงตันปาร์กเป็นสนามแข่งรถระดับโลก
แต่หลังจากการแสดงจบลง โคซี พาวลล์ก็ตัดสินใจลาออกจากวง
“มันเป็นวันที่ผมจะจดจำไปตลอดชีวิตว่าเป็นวันที่ดีมากในชีวิตของผม” แกรห์มเล่า “ครอบครัวของผมอยู่ที่นั่น เพื่อนผมก็อยู่ในกลุ่มคนดู มันเป็นวันมหัศจรรย์ และในวันนั้น โคซีก็ออกจากวง และหลังจากนั้นผมก็ออกตาม”
“โคซีบอกว่าเขาจะออกจากวง มันเป็นปัญหาใหญ่ในวันนั้น” ดอน แอรีบอก “ผมไม่คิดว่าเขาจริงจัง แต่เขาก็คงสุดทนแล้ว”
หลังจากลองซ้อมเพื่อเตรียมทำอัลบั้มใหม่ ซึ่งมีเพลง “ไอเซอเรนเดอร์” ของ รัส บัลลาด แกรห์มก็รู้สึกว่าวงนี้ไปไม่ไหว 18 เดือน ที่เขาอยู่เพียงพอแล้ว “ผมคิดว่ามันไปต่อไม่ไหวแล้ว” แกรห์มเล่า “ไม่มีอะไรเกิดขึ้น ไม่มีเพลง ไม่มีใครทำอะไรเลย”
คนที่เข้ามาแทนที่ก็คือ โจ ลีนน์ เทอเนอร์ กับ บ็อบบี รอนดิเนลลี ประสบความสำเร็จทางการตลาดมากกว่าเดิมแล้วก็ยุบวงในปีค.ศ. 1984 เพื่อกลับไปร่วมวงดีปเพอเพิล
ส่วนแกรห์ม เมื่อออกจากวงเรนโบว์ เขาไปทำงานเดี่ยว ก่อนจะเข้าร่วมวง ไมเคิล เชงเกอร์ กรุ๊ป ซึ่งผลปรากฏว่าเขาต้องโดนไล่ออกจากวงหลังจากแสดงสดครั้งแรก…
เว็บไซต์ของ ริตชี แบล็กมอร์ https://www.blackmoresnight.com/ritchie-blackmores-rainbow