The Great Kat

The Great Kat มือกีตาร์หญิงผู้เล่นกีตาร์ได้รวดเร็วอันดับต้น ๆ ของโลก

ทศวรรษ 80, ทศวรรษของคนบ้ากีตาร์ เราได้เป็นประจักษ์พยานในผลงานล้ำเลิศเกินมนุษย์ของมือกีตาร์มากมายนับไม่ถ้วน เกิดเป็นศัพท์ shredder / Shred guitar ขึ้นมาเพื่อเรียกมือกีตาร์เหล่านี้โดยเฉพาะ

และหนึ่งในมือกีตาร์ที่โดดเด่นในยุคนั้นเป็นอิตถีเพศ ที่เรียกตัวเองว่า เดอะเกรตแคต (The Great Kat) ที่เล่นกีตาร์รวดเร็ว ก้าวร้าว โครมคราม มีการแสดงสดที่บ้าบอสไตล์ BDSM มีเทป (ลิขสิทธิ์) ขายในเมืองไทยด้วยนะเออ

สมัยนั้นก็มีมือกีตาร์หญิงหลายคนที่โดดเด่นจริงจัง เช่น เจนนิเฟอร์ เบตเทน ซึ่งไปโด่งดังกับการเล่นข้างกายราชาเพลงป็อป ไมเคิล แจ็กสัน หรือ ลิตา ฟอร์ด อดีต เดอะรันอะเวย์ที่ออกงานเดี่ยวมาทางป็อปเมทัล หรือ เจเน็ต โรบิน แห่งพรีเชียสเมทัล

ฉันเอาดนตรีคลาสสิกมาทำให้พวกปัญญาอ่อนยอมรับได้!

แต่ที่กล่าวมานั้น ยังไม่มีใคร “สุดขั้ว” อย่างเช่น เดอะเกรตแคต หญิงสาวที่เล่นกีตาร์ได้รวดเร็วว่องไวติดอันดับต้น ๆ ของวงการดนตรี และมีความแตกต่างจากมือกีตาร์สาวที่โดดเด่นในยุคนั้นชัดเจน โดยเฉพาะความขี้โม้โอ้อวด ยกตัวเองเป็นพากานีนี่สมัยใหม่ เป็นร่างอวตารของเบโธเฟน สารพันสิ่งที่เธอจะบอกออกมาเหมือนเอาฮา แต่ว่าจริงจัง

ถึงเธอจะไม่ผงาดง้ำค้ำฟ้าอย่างมือกีตาร์หลายท่าน แต่ก็มีผู้ติดตามระดับ “คัลต์”

The Great Kat
The Great Kat สมัย Warship Me Or Die!

จุดเด่นของเดอะเกรตแคตก็คือ เธอนำเพลงคลาสสิกที่คนฟังเพลงน่าจะคุ้นหูมาปรับใหม่ให้เป็นเพลงบรรเลงสายพันธุ์เมทัล ปั่นสายเร็วจี๋จนหลายคนบอกว่ามันเอาแต่ความเร็วจนลืมความสุนทรีย์ แต่บางคนก็แก้ต่างให้เธอว่า ความเร็วปานสายด่วนสู่นรกนี่แหละ สุนทรีย์อันหาที่สุดมิได้

ก็ว่ากันไปตามใจรักก็แล้วกัน

ชื่อจริงของเดอะเกรตแคต คือ แคตเธอรีน โธมัส (Katherine Thomas) เกิดวันที่ 6มิถุนายน ค.ศ.1966 มีปูมหลังเป็นเด็กที่หัดไวโอลินตั้งแต่ 9 ขวบ และผ่านการศึกษาที่โรงเรียนดนตรี Juilliard อันทรงเกียรติแห่งนิวยอร์ก ซึ่งเคยเป็นแหล่งสะสมความรู้ของศิลปินโด่งดังระดับตำนาน ฟิลลิป กลาส นีนา ซีโมน และอีกหลายท่าน

แคตเธอรีนได้รับทุนเต็มจำนวนในฐานะนักเรียนไวโอลิน เป็นศิลปินเดี่ยวบรรเลงไวโอลิน เป็นผู้ดูแลคอนเสิร์ตของ Juilliard Pre-College Orchestra เธอเรียนรู้มากมายที่โรงเรียนนี้ แต่ที่สำคัญคือการฝึกที่เข้มข้น เพราะการเรียนในโรงเรียนที่มีแต่คนเก่ง ทำให้เธอต้องแข่งขันกับเพื่อนร่วมโรงเรียน ฝึกฝน แสดง และพัฒนาตัวเองตลอด 24 ชั่วโมงต่อวันเป็นเวลาหลายปี และเธอจบโดยได้รับเกียรตินิยมด้านไวโอลิน ออกแสดงคอนเสิร์ตไปทั่วโลก และเคยได้รับรางวัล “Certificate of Merit” จาก มาริโอ โคว ผู้ว่าการรัฐนิวยอร์ก (1983- 1994) ด้วยนะ

หลังจากเธอเล่นไวโอลินในวงซิมโฟนี ได้ออกทัวร์ระดับโลก แล้วจู่ ๆ วันหนึ่งเธอก็รู้สึกว่าดนตรีคลาสสิกแบบเก่า ๆ นั้นกำลังจะตาย และโดนทำลายโดย “พวกไร้ความสามารถ” เธอก็ตัดสินใจว่าเธอต้องปรับปรุงและนำดนตรีคลาสสิกไปสู่อนาคตด้วยเพลงสมัยใหม่

ในช่วงนั้น แคตเธอรีนมีโอกาสได้พบกับ ทิโมธี เลียรี ศาสตราจารย์ด้านจิตวิทยาแห่งฮาวาร์ด ผู้มีชื่อเสียงโด่งดังในยุค 60 ผู้สนับสนุนการใช้โอสถลวงจิตว่าเป็นหนทางสู่การบรรลุความจริง มีเพลง “Right Brain Lover” ทิโมธี แลร์รี เขียนเนื้อเพลง แคตเธอรีนทำดนตรีและบรรเลงไวโอลิน

หลังจากร่วมงานกับทิโมธี ชีวิตของแคตเธอรีนก็เหมือนได้รับการปลดปล่อยและค้นพบตัวเอง หลังจากที่เธอดูวิดีโอการแสดงสดของจูดาสพรีสต์ เธอก็เรียกตัวเองว่า เดอะเกรตแคต แต่งกายด้วยชุดหนัง บิกินี่ เป็นเจ้านายบนเวที พร้อมเชือกหนัง แส้ เทียนไข สำรอกเลือด และนำบทเพลงอมตะนิรันดร์กาลของคีตกวีในตำนาน เช่น วากเนอร์ บาค เบโธเฟน พากานีนี วิวาลดี ลิสต์ ฯลฯ มาบรรเลงในเส้นทางแธรชเมทัล

นอกจากบทเพลงคลาสสิกที่รู้จักกันดีซึ่งนำมาเรียบเรียงใหม่ เธอยังแต่งเพลงเอง ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นพวกแธรชเมทัลที่รวดเร็วและไม่ยาวไปกว่าสองนาที

ครั้งหนึ่ง นิตยสารกีตาร์วันจัดให้เธออยู่ลำดับ 10 มือกีตาร์ที่เร็วที่สุดตลอดกาล และเป็นมือกีตาร์หญิงคนเดียวที่ติดอันดับครั้งนั้น แต่ดูเหมือนเธอจะยังไม่พอใจ เพราะเธอกล่าวว่า “ฉันอยู่อันดับ 10 แต่ฉันเร็วกว่าไอ้พวกบัดซบนั่นตั้งเยอะ!” แคตประกาศกร้าว “นั่นคือเหตุผลที่ฉันเป็นพระเจ้า!”

โอเค เมื่อคุณอายุมากขึ้น คุณจะเข้าใจว่าอย่าไปหาเหตุผลตรรกะความต่อเนื่องอันใดจากเดอะเกรตแคต เมื่อได้ยินหรือได้เห็นเธอมักจะคุยโวโอ้อวดว่า ตัวเองคือ ผู้ปฏิวัติวงการดนตรี เป็นสตรีที่ทรงพลังที่สุดนับจาก โจนออฟอาร์ก เป็นเบโธเฟนกลับชาติมาเกิด เป็นคนที่เก่งที่สุดนับจากพากานีนี ฯลฯ 

“ฉันเอาดนตรีคลาสสิกมาทำให้พวกปัญญาอ่อนยอมรับได้!” เธอคำราม “ผู้คนไม่ต้องการฟังเพลงคลาสสิก ดนตรีคลาสสิกตายแล้ว!”

สิ่งที่คุณควรทำคือยิ้มมุมปากนิด ๆ พองาม แล้วเดินจากไปอย่างสงบ

 เว็บไซต์ของ THE GREAT KAT

Leave a Reply

Scroll to top
%d bloggers like this: