Tuff
Tuff วงดนตรีแฮร์แบนด์จากฟินิกซ์ อริโซนา ซึ่งครั้งหนึ่งเคยคุยโม้โอ้อวดตัวเองว่า พวกเขาคือ “วงดนตรีที่ยังไม่ได้เซ็นสัญญาที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก” ซึ่งก็ไม่รู้เหมือนกันว่าไปเอาความมั่นใจอะไรแบบนั้นมาจากไหน
ตอนที่เห็นภาพของพวกเขาสมัยแรก (ปลายทศวรรษ 80) ก็นึกถึงวง Poison พอประมาณ Stevie Rachelle นักร้องนำของวงแทบไม่ต่างอะไรกับ Bret Michaels นักร้องนำวงPoison แถมดนตรีก็อยู่ในสายเดียวกับ Poison เสียด้วย เป็นแกลม/แฮร์เมทัล ทำดนตรีป็อปเมทัลเข้าหูอยู่เหมือนกัน

น่าเสียดายที่กว่าจะแจ้งเกิดได้ก็สายไปเสียแล้ว…ชะตากรรมก็เหมือนกับอีกหลายคณะที่มีชื่อเสียงเพียงแค่ชั่วเวลาสั้น ๆ แถม Tuff แทบไม่ได้รับการพูดถึงในแง่ดีเท่าไหร่ ซึ่งพวกเขาก็รู้ตัวดี ขนาดเคยทำอัลบั้มรวมเพลงใช้ชื่อ “ทศวรรษของการดูหมิ่น” – Decade of Disrespectออกมาด้วย
ถึงแม้นิตยสารบางฉบับเช่น Hit Parader จะลงรูปและข่าวของ Tuff อยู่บ่อย ๆ แต่ดูเหมือนว่าส่วนใหญ่จะไม่ค่อยเขียนถึง Tuff ในแง่ดีนัก Stevie Rachelle เคยมีปัญหากับนักเขียนที่เขียนถึงเขาไม่ค่อยดีจนถึงขั้นลงไม้ลงมือกันมาแล้ว
คนที่โดนไปจังจัง ก็คือ Hot Rod Long นักเขียนที่ทำงานในหนังสือพิมพ์ท้องถิ่นแอลเอหลายฉบับ ซึ่งเขียนวิจารณ์วง Tuff ไว้ค่อนข้างเสียหาย ตอนนั้นประมาณปีค.ศ. 1989 เล่ากันว่า Hot Rod Long เขียนถึงStevie Rachelle และวง Tuff ในนิตยสารท้องถิ่นแอลเอหลายฉบับติดต่อกัน ตอนแรกก็เป็นคอลัมน์เล็ก ๆ ต่อมาก็ถึงขึ้นเป็นพาดหัวหรือมีชื่อเรื่องประดับที่หน้าปกนิตยสารหรือหนังสือพิมพ์หน้าหนึ่ง และโจมตีว่า Stevie เป็นคนที่ใช้ไม่ได้ ไม่มีพรสวรรค์ ขาดความสามารถ…
แน่นอนว่ามันสร้างความไม่พอใจให้กับสตีวีอย่างเลี่ยงไม่ได้ และเขาตามหาจนเจอตัว Hot Rod Long ซึ่งรูปร่างสูงใหญ่กว่า Stevie เยอะ (Stevie บรรยายว่า Hot Rod Long นั้นเป็น คนตัวอ้วนใหญ่เนิร์ด ๆ เขาเลยเดินเข้าไปถามตรง ๆ ว่ามีปัญหาอะไรกับเขา? และจากนั้นก็มีการผลักกันไปมา Stevie คงคิดว่า เปิดก่อนได้เปรียบ เลยต่อย Hot Rod ไม่ยั้งจนแว่นตกแตกกระจาย เมื่อ Hot Rod ล้มยังเตะเข้าที่หัวที่หลายครั้ง กว่าบรรดาผู้รักษาความปลอดภัยในผับจะเข้ามาช่วยก็โดนไปหนัก
นั่นคือความก้าวร้าวของ Stevie Rachelle นักร้องนำวง Tuff
ความจริง Stevie ไม่ใช่นักร้องนำดั้งเดิมของวง Tuff
Tuff ตั้งวงในฟินิกซ์ อริโซนา เมื่อปีค.ศ. 1985 ยุคที่แกลมเมทัลกำลังได้รับความนิยม แกนนำวงก็คือ Jorge DeSaint (กีตาร์) กับ Todd Chase (เบส) ส่วนสมาชิกคนอื่นในยุคแรกล้วนแต่ลาจากไปในเวลาไม่นาน ในยุคที่ทำอีพีแรก Knock Yourself Out (1986) แบบทำเองขายเอง จะมี Jim Gillette เป็นร้องนำ และ Michael “Lean” Raimondo เป็นมือกลอง
ลองฟังเพลงแล้วก็รู้สึกเหมือนกับฟัง Poison นในอีกเวอร์ชันหนึ่ง ช่วงนี้ Tuff ได้แสดงตามคลับไปทั่วฟินิกซ์และบางทีก็ข้ามไปเล่นที่อื่นบ้าง จากนั้นย้ายมาฮอลลีวู้ด แคลิฟอร์เนีย แต่ Jim นักร้องนำลาออกเพื่อไปทำอัลบั้มเดี่ยว และภายหลังทำวง Nitro ร่วมกับ Michael Angelo คนที่เข้ามาแทนก็คือ Stevie Rachelle
สมัย Stevie Rachelle ยังเป็นเด็กเขาชื่นชอบพังก์ร็อกและการเล่นสเก็ตบอร์ด จนกระทั่งเขาได้ฟังอัลบั้ม Shout at the Devil ของ Mötley Crüe เขาก็ตัดสินใจว่าจะเป็นร็อกสตาร์ เมื่อมาเจอใบปลิวโฆษณาหานักร้องนำของวง Tuff ที่แจ้งว่า ต้องการคนที่เหมือน David Lee Rothหรือ Vince Neil เขาก็ตัดสินใจเดินทางจากชิคาโกมุ่งหน้าสู่ลอสแอนเจลิสเพื่อเข้าทดสอบเป็นนักร้องนำของวง Tuff และหลังจากนั้นเพียงหกสัปดาห์เขาก็เล่นบนเวทีในฐานะนักร้องนำวงTuff (เป็นวงเปิดให้กับ Warrant ที่ The Roxy Club)
ช่วงนั้นประมาณปีค.ศ. 1987 ดนตรีแฮร์แบนด์กำลังรุ่งเรือง Tuff ก็เป็นวงดังประจำย่านซันเซตสตริปกับเขาด้วยเหมือนกัน ตอนนั้น Tuff โฆษณาว่าตัวเองคือ “วงดนตรีที่ยังไม่ได้เซ็นสัญญาที่ดังที่สุดในโลก” ซึ่งมันก็คงเกินความเป็นจริงไปหลายร้อยล้านกิโลเมตร แต่อย่างน้อยพวกเขาก็คงพอมีชื่อเสียงบ้าง ได้ปรากฏตัวในสารคดีดนตรี “การล่มสลายของอารยธรรมตะวันตกตอนที่ 2: ยุคของเมทัล” (The Decline of Western Civilization Part II: The Metal Years) แต่ก็นอกจากนั้นแล้วก็ยังไม่มีอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน
Tuff เริ่มทำเดโมเทปกันอีกครั้ง โดยเลือก Jesse Harms มือคีย์บอร์ดในวง Sammy Hagar ในช่วงอัลบั้ม VOA เป็นผู้ดูแลการผลิต โดยทำงานกันที่ซาวด์ซิตีสตูดิโอส์ ในแคลิฟอร์เนีย แทบจะบันทึกเสียงสด มีการอัดทับตกแต่งเสียงกันบ้างเล็กน้อย สมัยนั้นMichael (มือกลอง) ทำหน้าที่เสมือนหัวหน้าวง เป็นตัวตั้งตัวตีในการทำงานทุกอย่าง ทั้งติดต่อหาที่ทำเดโม เขียนเพลง หาคนมาถ่ายรูปวง หาคนทำโลโก้ พวกเขาจัดการเรื่องภาพลักษณ์ เครื่องแต่งกายจัดเต็มสไตล์แกลมเมทัล เครื่องดนตรีทั้งหลายได้รับการปรับแต่ง กลองก็เพนต์สีใหม่ใส่โลโก้ที่เบสดรัม ทุกอย่างปรับแต่งให้ดูดี และเชิญคนของบริษัทต่าง ๆ มาดูการแสดงของพวกเขา แต่น่าเสียดายที่บรรดาแมวมองทั้งหลายมองข้ามพวกเขาไป โดยหลายคนบอกพวกเขาตรง ๆ ว่าเพลงของพวกเขาไม่มีทีท่าว่าจะเป็นเพลงฮิตได้เลย
เมื่อเป็นอย่างนั้น Michael จึงออกความคิดเรื่องเชิญนักแต่งเพลงนอกวงมาช่วยขัดเกลาเพลงให้ถูกใจคนทั่วไปขึ้น ซึ่งพวกเขาก็ทำได้ แต่ในที่สุด ปีค.ศ. 1990 Tuff ก็ได้เซ็นสัญญากับ Titanium Records
Titanium Records เป็นบริษัทเล็ก ๆ ที่ก่อตั้งโดย Andy Secher (บรรณาธิการ Hit Parader) Paul O’Neill (Producer), Mitch Hersowicz (หุ้นส่วนคนหนึ่งของ Hit Parader) ได้รับการสนับสนุนโดย Atlantic แต่อยู่ได้ 2 – 3 ปีก็ล้มหายตายจากไป วงดังวงหนึ่งที่อยู่บริษัทนี้ก็คือ Badlands ของ Jake E Lee นั่นเอง (Paul O’Neill เป็นคนดูแลการผลิตอัลบั้มแรกของBadlands ด้วยตัวเอง)
เล่ากันว่า Tuff เข้าตาทีมงานทำนิตยสาร Hit Parader เข้าเพราะภาพลักษณ์ “ขาย” ได้ และพยายามโปรโมตวงนี้พอสมควร เมื่อหุ้นส่วนของHit Parader เข้าหุ้นทำบริษัท Titanium ก็เลยเลือก Tuff เข้าบริษัทด้วยสัญญา 75,000 ดอลลาร์ กับ 7 อัลบั้ม เทียบกับ Poison สมัยเซ็นสัญญาทำอัลบั้มแรกกับ Enigma ก็ได้เพียงแค่ 23,000 ดอลลาร์เท่านั้น แต่ถ้าเทียบกับ Guns N’ Roses สมัยได้เซ็นสัญญากับ Geffenก็คงต่างกันราวฟ้ากับเหว
งานแรก What Comes Around Goes Around ในปีค.ศ. 1991 มีเพลงบัลลาด “I Hate Kissing You Goodbye)” ที่พอจะเป็นที่รู้จักบ้าง โดยรวมเป็นผลงานที่ดีชุดหนึ่ง แต่ช่วงนั้นเป็นขาลงของแฮร์แบนด์แล้ว สถานการณ์เปลี่ยนไปสู่กระแสดนตรีกรันจ์ บรรดาแฮร์แบนด์โดนปลดระวางกันเป็นแถว อนาคตของ Tuff ก็แทบจะดับวูบลงไป
Titanium ยกเลิกสัญญากับพวกเขาในปีถัดมา ตอนแรกบริษัท Grand Slamm ทำสัญญากับพวกเขาแต่หลังเซ็นสัญญาไม่นานบริษัท IRS ซึ่งเป็นบริษัทแม่ยุติบทบาทตัวเองลงTuff ก็เลยไร้สัญญาอีกครั้ง Todd Chase และ Michael “Lean” Raimondo ลาออกจากวงในปีค.ศ. 1993 ถึงแม้จะเรียก Danny Wilder กับ Jimi Lord Winalis มาเสริมทีม แต่ทัวร์ไม่นาน Danny ก็ลาออกอีกคน Jamie Fonte เข้ามาเพื่อจะช่วยทัวร์ให้เสร็จสิ้น
ในปีค.ศ. 1994 พวกเขากลับมาทำอัลบั้มกันเอง ตั้งบริษัทชื่อ RLS (ย่อมาจาก Records Label Sucks) ซึ่งไม่ประสบความสำเร็จแต่อย่างใด ปีค.ศ. 1995 บางคืนพวกเขาเล่นโดยที่มีคนดูเพียงแค่ 40 คน ที่แย่สุดคือเล่นที่โอไฮโฮมีคนดูเพียงแค่สองคน และวง Tuff ก็จบสิ้นเพียงเท่านั้น
และต่อมา Stevie Rachelle ก่อตั้งเว็บเกี่ยวกับวงการดนตรีร็อกชื่อ metalsludge ในปี ค.ศ. 1998 ซึ่งในช่วงแรกไม่มีการเปิดเผยผู้ก่อตั้งเว็บ และมันกลายเป็นเว็บไซต์ที่แฟนเพลงร็อกยุคเก่าต้องเข้ามาอ่านเพราะเก็บเรื่องราวของดนตรีฮาร์ดร็อกและแกลมเมทัลไว้มากมาย (Stevies เขียน Tuff’s Diaries ในเว็บไซต์นี้ด้วย)
ปีค.ศ. 2000 Stevie กลับมาทำวง Tuff ใหม่อีกครั้ง โดยไม่มีสมาชิกเก่ากลับมาร่วมวงด้วยเลย และปล่อยอัลบั้ม History of Tuff (2001) ผลงานรวมเพลงที่มีเพลงใหม่ “American Hair Band” ที่ล้อเลียนเพลง “American Bad Ass” ของ Kid Rock ซึ่งเพลงนี้ Kid Rock ก็ใช้ดนตรีของเพลง “Sad but True” ของ Metallica อีกที) อ่านเนื้อเพลงแล้วก็ฮาดี
อ่านเพิ่มเติม Tuff’s Diary