Vinnie Vincent

Vinnie Vincent เป็นมือกีตาร์ที่โด่งดังมาจากการเป็นสมาชิกวง KISS และเป็นเจ้าของวง Vinnie Vincent Invasion เขาเป็นหนึ่งในมือกีตาร์ฝีมือดีที่มีชื่อเสียง และผู้เคยร่วมงานด้วยล้วนเอ่ยปากว่าทำงานด้วยยาก!!!

Vinnie Vincent

FR!DAY ! AM !N ROCK ชื่นชอบ วินนี วินเซนต์ เป็นพิเศษ เพราะประทับใจตอนที่เขาฝากฝีมือไว้ในคณะจูบอสุรกาย และเมื่อเขามาทำวง วินนี วินเซนต์ อินเวชัน (Vinnie Vincent Invasion) ก็เป็นผลงานที่น่าสนใจและมีความโดดเด่นมาก ในสมัยนั้นทุกคนยอมรับฝีมือการเล่นกีตาร์ของวินนีกันโดยปราศจากข้อกังขาใดใดทั้งสิ้น ทว่า เขากลับไม่ประสบความสำเร็จอย่างที่ควร ซึ่งน่าเสียดาย

เหตุผลหลักคือนิสัยของเขาออกจะประหลาด ทำให้ผู้ร่วมงานถอดใจโบกมือลากันเป็นแถว คำจำกัดความที่ดีที่สุดอาจจะเป็นความคิดเห็นของ จีน ซิมมอนส์ ที่ว่า เขียนเพลงเก่ง เล่นกีตาร์เก่ง ร้องเพลงดี แต่มีปัญหาเรื่องนิสัยจนต้องไล่ออกจากวง

FR!DAY ! AM !N ROCK จะเล่าเรื่องราวของมือกีตาร์ผู้ยิ่งใหญ่ซึ่งสะดุดปัญหาตัวเองจนไปไม่ไกลอย่างที่คิด

Vinnie John Cusano a.k.a Vinnie Vincent

วินนี วินเซนต์ (Vinnie Vincent) มีชื่อจริงว่า วินเซนต์ จอห์น คูซาโน (Vincent John Cusano) เกิดวันที่ 6 สิงหาคม ค.ศ. 1952 ในเมืองบริดจ์พอร์ต รัฐคอนเน็คติกัต เขาเคยให้สัมภาษณ์กับนิตยสารกีตาร์เพลเยอร์ในปีค.ศ.1987 ว่า เขานอนกับกีตาร์ตั้งแต่ก่อนจะหัดเล่นกีตาร์เสียอีก เพราะพ่อแม่ก็เล่นดนตรีทั้งคู่ ทำให้เขาคุ้นเคยกับเครื่องดนตรีมาตั้งแต่เด็ก แต่มาหัดเล่นกีตาร์ตอนอายุ 10 ขวบ และต่อมารับงานเล่นตามคลับ บาร์ ภัตตาคาร โดยหางานอื่นทำเสริมไปด้วย 

ช่วงเขาทำวง ฮันเตอร์ (Hunter) ได้บันทึกเสียงทำเดโมเทปที่คอนเน็คติกัตเร็คคอร์ดดิงส์สตูดิโอ ซึ่งก็ไม่มีอะไรเป็นชิ้นเป็นอันเหมือนเดิม แต่ทำให้เขาได้งานเป็นมือกีตาร์ประจำห้องบันทึกเสียงคอนเน็คติกัตเร็คคอร์ดดิงส์สตูดิโอ มีโอกาสร่วมงานกับศิลปินมากหน้าหลายตา อย่างเช่น แบล็กซาติน (Black Satin – วงดนตรีแนวอาร์แอนด์บี/ดิสโก) โดยเฉพาะการรู้จักกับ เฟลิก คาวาเลียร์ (Felix Cavaliere) อดีตสมาชิกวง เดอะยังราสเคิลส์ (The Young Rascals) ผู้ผันตัวมาเป็นโปรดิวเซอร์ประจำสตูดิโอ ยิ่งทำให้อาชีพเขาก้าวหน้ามาก

เฟลิกเคยให้สัมภาษณ์ว่า เขาสนใจวินนีเพราะเป็นคนมีพรสวรรค์เหลือเชื่อ และด้วยประสบการณ์เล่นในบาร์ ภัตตาคาร และงานรื่นเริงสังสรรค์ทำให้วินนีต้องหัดเล่นเพลงหลากหลายรูปแบบ ทั้งกีตาร์ไฟฟ้าและกีตาร์โปร่ง เป็นประโยชน์ต่อการเป็นมือปีนรับจ้างตามห้องบันทึกเสียงมาก

และในเมื่อวินนีทำงานได้ประทับใจ-โปรดิวเซอร์และทำงานประจำห้องบันทึกเสียง ทำให้เขาได้โอกาสในการทำงานตัวเองอีกครั้ง โดยทำซิงเกิลแรก “แฮปปีเบิร์ธเดย์ยูเอสเอ”ภายใต้นามแฝงว่า คิด แคชเมีย แอนด์ วินนี เลอค็อก (Kid Cashmir & Winnie LeCoux)

https://youtu.be/jeXzEzrzPTI
“แฮปปีเบิร์ธเดย์ยูเอสเอ”

ซิงเกิลนี้เป็นผลงานในเชิงพาณิชย์ชุดแรกของวินนี ภายใต้นามแฝง วินนี เลอค็อก ส่วน คิด แคชเมียร์ ชื่อจริงคือ เดวิด วูลฟฟ์ (David Wolff) ร้องเพลงหน้าบี (เพลง อิเอ็กซ์ซอซิสซึม ออฟ แคชนีย์) ในปีค.ศ. 1976 เป็นช่วงเวลาฉลองครบรอบ 200 ปีการประกาศเอกราชของสหรัฐอเมริกา วินนีกับเดวิดเลยทำเพลงร่วมกันเป็นธีมเกี่ยวกับสหรัฐอเมริกา

สำหรับเดวิดนี้ต่อมาเขาเป็นที่รู้จักในฐานะผู้จัดการและแฟนหนุ่มของ ซินดี ลอเปอร์ ในช่วงหนึ่ง

ผลงานเด่นในช่วงนั้นก็มีเพลง “ธิสซองค์ฟอร์ยูมามา” ที่เขาเขียนให้กับวง ฮิตช์ไฮเกอร์ส แต่การเป็นมือกีตาร์รับจ้างและคนเขียนเพลงยังไม่อาจเติมเติมความฝันที่จะทำงานในชื่อตัวเองได้

“ธิสซองค์ฟอร์ยูมามา”

โอกาสใหญ่ของเขามาถึงเมื่อไปทำงานกับ เฟร็ด ลิบสิอัส (สมาชิกยุคก่อตั้งวงบลัดสเวตแอนด์เทียร์) ทำให้เขารู้จัก แจ็ก สคาแรนเกลลา มือกลองที่บันทึกเสียงในอัลบั้มนั้น นำมาสู่การตั้งวงเทชเชอร์ (Treasure) โดยมีสมาชิกสามคนคือ เฟลิก คาวาเลียร์ แจ็ก สคาแรนเกลลา และ วินนี คูซาโน แต่ในอัลบั้มได้ ริก เลียร์ด มือเบสจากวงมหาวิษณุออเคสตรามาช่วยเล่น

วงเทซเชอร์ออกอัลบั้มมา 1 ชุดในปีค.ศ. 1977 และเงียบหายไป…

“อินโนเซนต์อายส์”

งานเด่นอีกเพลงคือเมื่อเขาได้ทำงานร่วมกับ ลอรา ไนโร ศิลปินในดวงใจตั้งแต่ยังเป็นวัยรุ่น เขาเสนอตัวขอมีส่วนร่วมในอัลบั้มเนสเตด

“มายอินโนเซนซ์” โดย ลอรา ไนโร

แต่ที่โด่งดังระดับประเทศ ก็คือการได้ปรากฏหน้าตาให้มิวสิกวิดีเพลงฮิต “อินสแตนต์รีเพลย์” ของแดน ฮาร์ตแมน เมื่อปีค.ศ. 1978 

“อินสแตนท์รีเพลย์” ของแดน ฮาร์ตแมน

จากนั้นเขาใช้เวลาเกือบทั้งปีค.ศ. 1978 ในฐานะมือกีตาร์แบ็กอัปให้กับวงของ เอ็ดการ์ วินเทอร์ และปี ค.ศ. 1980 เขาแต่งงานกัน แอนมารี ปีเตอร์ และย้ายมาปักหลักลอสแอนเจลิส อาชีพหลักคือทำเพลงประกอบรายการโทรทัศน์ เขียนเพลงให้กับวงดนตรีต่าง ๆ รับบันทึกเสียงตามห้องบันทึกเสียงเป็นงานเสริม มีเพลงดังอย่าง “แบ็ก ออน เดอะ สตรีท” ซึ่งวงทรีสปีดเอาไปเล่นจนดัง (แต่เดิมเขาทำให้วง ฮีท อยู่ในอัลบั้ม สติลล์เวททิง) มีโอกาสร่วมวงร็อกเกอร์สของ คาร์ไมน์ อะพิซี ถึงจะไม่ได้เล่นร่วมกับวงจริงจัง และไม่ได้มีเครดิตในฐานะสมาชิกวง แต่ก็ร่วมเขียนเพลงให้กับอัลบั้มแรกของวงร็อกเกอร์สด้วย

จุดเปลี่ยนมาถึงเมื่อเขาต้องทำหน้าที่มือกีตาร์แบบไร้เครดิต ในอัลบั้ม ครีเชอร์ออฟเดอะไนต์ ของวงคีสในช่วงเวลาที่ เอซ เฟรห์ลีย์ มือกีตาร์ของวงกำลังมีปัญหากับสมาชิกคนอื่นจนไม่ยอมมาทำงาน อดัม มิตเชลล์ นักแต่งเพลงที่คุ้นเคยกับวงคิสแนะนำให้คิสรู้จักกับ วินนี คูซาโน มือกีตาร์รับจ้างผู้มากความสามารถ 

จีน ซิมมอนส์เคยให้สัมภาษณ์ว่ารู้จักวินนี วินเซนต์ผ่านคำแนะนำของ อดัม มิตเขลล์ (นักแต่งเพลงที่เขียนเพลงในอัลบั้ม คิลเลอร์ ครีเชอร์ออฟเดอะไนต์ ฮอตอินเดอะเฉด) แต่ตอนนั้นวินนีมาในฐานะนักแต่งเพลง “เราเริ่มเขียนเพลงด้วยกัน แล้วเราค่อยพบภายหลังว่าเขาเล่นกีตาร์ได้ เขาร้องเพลงและเขาเป็นพวกเปลี่ยนแปลงได้หลากหลาย เล่นเครื่องดนตรีได้หลายชนิด เขามักจะรบเร้าขอเข้าวงอยู่เสมอ แต่เราบอกว่า ไม่ คุณเข้าวงคิสไม่ได้ คุณตัวเล็ก บอบบาง ถ้าต้องอยู่แถวหน้าเรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญ”

พอล สแตนลีเขียนในหนังสือ เฟซเดอะมิวสิก ว่า “ครั้งแรกที่วินนีเข้ามาในสตูดิโอ เขาเล่นโซโลออกท่าทางลงไปคุกเข่า ผมคิดว่ามันเป็นสิ่งที่ยอดเยี่ยมที่สุดที่เคยเห็นมาเลย” 

วงคิสกำลังทำอัลบั้ม ครีเชอร์ออฟเดอะไนต์ โดยไม่มีเอซ เฟรห์ลีย์ตั้งแต่ตอนทำเดโมเทป เมื่อถึงเวลาบันทึกเสียงจริงก็ได้มือกีตาร์หลายคนเช่น ร็อบเบน ฟอร์ด (ซึ่งปกติเล่นบลูส์) สตีฟ เฟอริส (มือกีตาร์วงมิสเตอร์มิสเตอร์) อดัม มิตเชลล์ และวินนี คูซาโนเล่นโซโลกีตาร์เกือบทุกเพลงรวมทั้งร่วมเขียนเพลงอีก 3 เพลง

“ไอเลิฟอิตลาวด์”

ช่วงนั้น จีน ซิมมอนส์ กับ พอล สแตนลี ยังไม่คิดให้วินนี คูซาโนมาเป็นมือกีตาร์ในวงคีส แต่สมาชิกวงก็สนับสนุนเขาตามสมควร เช่น ปีเตอร์ คริสส์ มือกลองนำเพลง “เทียร์” ที่วินนีเขียนร่วมกับอดัม มิทเชลล์ไปใช้ในอัลบั้มเดี่ยวของเขา 

“เทียร์ส”

New England / Warrior

วงนิวอิงแลนด์ (New England) เป็นวงดนตรีร็อกที่ บิล อูคอยน์ เป็นผู้จัดการวง และได้ พอล สแตนลีเป็นคนดูแลการผลิตอัลบั้มแรกของพวกเขาด้วย ได้ชื่อว่าเป็นวงที่สนิทสนมกับวงคิสเป็นอย่างมากในช่วงนั้น แต่ถึงออกอัลบั้ม 3 ชุดไปแล้วพวกเขาก็ยังไม่ดังอย่างที่หลายคนคาดหวังเสียที มีเพียง “โดนต์เอเวอร์วอนต์ทูเลิฟยา” เป็นเพลงฮิตติดท็อป 40 เพลงเดียว และพอบันทึกเสียงอัลบั้มชุดที่ 4 ร่วมกับ ท็อด รันด์เกรน ที่ห้องบันทึกเสียงยูโทเปียของท็อดในวู้ดสต็อก รัฐนิวยอร์ก จอห์น แฟนนอนมือกีตาร์ตัดสินใจลาออกแบบไม่ให้ใครตั้งตัว ทางวงจึงต้องหามือกีตาร์คนใหม่

แกรี ชี เคยให้สัมภาษณ์ว่าตอนนั้นมี ชาร์ลี ฮันห์ (เล่นกับเท็ด นูเจนท์) ไมค์ สลาเมอร์ (วงซิตีบอย) แกรี ชาราฟ (เล่นกับบิลลี สไควร์) เป็นตัวเลือก แต่พวกเขา (แกรี ชี, จิมมี วาลโด และ เฮิร์ช การ์ดเนอร์) ได้รับการติดต่อจากจีน ซิมมอนส์ แนะนำ วินนี คูซาโน 

“จีน ซิมมอนส์โทรมาหาเรา แล้วบอกว่า เราน่าจะลองมือกีตาร์ที่ชื่อ วินนี คูซาโน ซึ่งเป็นหนึ่งในตัวเลือกที่เขาจะให้มาแทน เอซ เฟรห์ลีย์ และช่วยเขียนเพลงให้คิสในลอสแอนเจลิส จีนบอกว่า วินนีเยี่ยมมาก แต่ว่าตัวเตี้ยเกินไปสำหรับเป็นสมาชิกวงคิส”

จะว่าไป วงคิสก็มีข้อแม้อะไรแปลก ๆ แต่ก็มีเหตุผลสำหรับธุรกิจบันเทิง

อีกทั้ง เลนนี เพตซ์ คนในวงการดนตรีอีกคน (ที่ต่อมาเป็นผู้บริหารอีพิคเร็คคอร์ด) ก็แนะนำวินนีด้วยเช่นกัน ทางวงเลยขอให้วินนีส่งเทปเพลงตัวอย่างมาให้ลองฟัง วินนีส่งเพลงของตัวเองมาให้นิวอิงแลนด์ 4 – 5 เพลง สมาชิกนิวอิงแลนด์ประทับใจกับเพลงที่ได้ฟังจึงขอให้เขาเดินทางมาบอสตันเพื่อลองซ้อมดนตรีด้วยกัน

จิมมี วาลโด เล่าว่า “วินนีไม่ชอบเพลงของนิวอิงแลนด์ เหลือทางเลือกทางเดียวก็คือต้องใช้เพลงของเขา ซึ่งในเวลานั้นมันเยี่ยมมาก เขาส่งคาสเซตต์เทปให้เรามีเพลงอยู่ 4 หรือ 5 เพลง เขาบินมาบอสตันกับกีตาร์ของเขา เดินเข้ามาที่ห้องซ้อมของเรา เสียบกีตาร์เข้ากับแอมป์มาร์แชลและเราซ้อมกันเหมือนกับเราเล่นกันมานาน ซาวด์ออกมาดีและเข้ากันได้สมบูรณ์แบบ”

ส่วนเฮิร์ชบอกว่า “ทุกเพลงที่วินนีส่งให้เราฟังมันดีมากเรามีความสุขที่ได้เล่นมัน บางเพลงกลายเป็นเพลงของคิสไป เราไม่ได้ร่วมเขียนเพลงกับเขาในตอนแรกหรอก”

และบางเพลงที่ว่าก็คือ “ไอเลิฟอิตลาวด์” โดยมีเพลง “บอยส์อาร์กอนนาร็อก” เป็นอีกหนึ่งตัวเลือก ซึ่งมีข่าวลือยังไม่ยืนยันว่าคิสได้บันทึกเพลง “บอยส์อาร์กอนนาร็อก” เอาไว้ด้วย แต่ยังไม่เคยมีเพลงหลุดออกมาให้ได้ฟัง

แต่วินนีต้องย้ายกลับลอสแอนเจลิสเพราะติดงานบันทึกเสียงให้วงคีส (ขณะนั้นกำลังทำอัลบั้มครีเชอร์ออฟเดอะไนต์) ทำให้สมาชิกวงต้องย้ายจากนิวยอร์กมาลอสแอนเจลิส และเปลี่ยนชื่อวงเป็นวอริเออร์เพื่อรับสิ่งใหม่ โดยวงวอริเออร์จะซ้อมดนตรีที่เอสไออาร์สตูดิโอตอนกลางวัน ส่วนวินนีจะไปบันทึกเสียงกับวงคิสตอนกลางคืนที่สตูดิโอเร็คคอร์ดแพลนท์

บริษัทซีบีเอสมองเห็นว่าวอริเออร์น่าสนใจ เลยเสนอเงินทุนทำเดโมเทป พร้อมข้อเสนอทำสัญญาออกอัลบั้ม ตอนนั้นพวกเขาทำเดโม “บอยส์อาร์กอนนาร็อก” “ยิปซีอินเดอะเฮอร์อายส์” “ไอนีดเลิฟ” “แบ็กออน สตรีต” “อิตส์น็อตพริตตี” และ “เบบี โอวาย? ” โดยวินนีรับหน้าที่ร้องนำ

https://youtu.be/7N5oYMy4yHY
เดโมเทปที่ทำร่วมกับ วอริเออร์

ทว่า ขณะกำลังซ้อมดนตรีกันอยู่อนาคตของวงวอริเออร์ทำท่าจะไปไม่รอด โดยที่ปัญหาอาจจะมีหลายสาเหตุแต่สมาชิกที่เหลือของวงวอริเออร์พร้อมใจกล่าวโทษนิสัยของวินนีว่าทำให้ไม่ได้เซ็นสัญญากับซีบีเอสหรือบริษัทใหม่ ขณะอนาคตของวงวอริเออร์ยังไม่มีทีท่าว่าจะไปถึงไหน วงคิสเสนอให้ วินนี คูซาโนเ ข้ามาเป็นมือกีตาร์แทน เอซ เฟรห์ลีย์ ที่ลาออกไป

ดูเหมือนไม่ต้องคิดอะไรมากว่าจะเลือกอะไร ระหว่างวงรุ่นใหญ่อย่างคิส กับวงที่ไม่แน่ใจว่าจะมีอนาคตอย่าง วอริเออร์ แต่หลังจากนั้นพวกเขาก็ยังติดต่อกันเป็นระยะ

(หมายเหตุ จิมมีกับแกรีไปตั้งวงอัลคาทราซร่วมกับแกรมห์ บอนเน็ต)

KISS

เดือนธันวาคมค.ศ. 1982 วินนี คูซาโนเป็นมือกีตาร์ของวงคิสอย่างเป็นทางการ แต่เขาต้องเปลี่ยนแปลงตัวเองหลายอย่าง เริ่มจากวงคีสไม่อยากให้เขาใช้ชื่อ วินนี คูซาโน ด้วยเหตุผลว่าฟังไม่ร็อกเอาเสียเลย พอเขาจะเปลี่ยนชื่อเป็น มิก ฟิวรี แต่ จีน ซิมมอนส์ก็ไม่ชอบ และตั้งให้เองว่า วินนี วินเซนต์

พอล สแตนลี ออกแบบการแต่งหน้าและการแต่งตัวของวินนีให้เป็น เดอะวิซ แต่ส่วนใหญ่จะเรียกว่านักรบอาห์ (หรือแองห์) เพราะใช้สัญลักษณ์กางเขนอียิปต์โบราณ อีกทั้งยังเปลี่ยนมาใช้กีตาร์แจ็กสันวี ตามแบบ แรนดี โรดส์ ผู้ล่วงลับในช่วงเวลานั้น ด้วยเหตุผลว่าถ้าพูดถึง เอซ เฟรห์ลีย์ ก็ต้องนึกถึงกิบสันเลสพอล ดังนั้นต้องหากีตาร์ที่แตกต่างเพื่อสร้างบุคลิกที่น่าจดจำใหม่

เมื่อครั้งที่วินนีปรากฏตัวในงานคิสเอ็กซ์โปปีค.ศ. 2018 เขากล่าวถึงวงคิสว่า “ก็พอจะพูดได้ว่าผมกับวงคิสเป็นเพื่อนกัน ผมรักคนพวกนี้ ยังรักถึงทุกวันนี้ มันมีความทรงจำที่มหัศจรรย์มากอยู่ข้างใน คนส่วนใหญ่ทำวงดนตรีแล้วไม่มีอะไรบางอย่างที่…ผมเกลียดคำนี้ “เวทมนตร์” แต่มันเป็นเวทมนตร์จริง ๆ เป็นบางสิ่งที่ไม่สามารถอธิบายเป็นคนพูดได้ บีตเทิลส์มีสิ่งนี้ เซพพลินมีสิ่งนี้ ผมมองหาสิ่งนี้และไม่เคยพบจนกระทั่งได้เจอพวกเขา (วงคีส) มันคือส่วนผสมของสิ่งที่ผมไม่เคยพบมาก่อน ทุกอย่างที่ใส่ลงไปมันระเบิดกระจาย ในความหมายทั้งดีและไม่ดี”

แต่วินนีไม่ยอมสัญญากับวงคิส โดยอ้างว่าถ้าเขาเซ็นสัญญาในฐานะมือกีตาร์ของวง เขาจะกลายเป็นเบี้ยล่างของจีน ซิมมอนส์ กับพอล สแตนลีทันที และจะไม่ได้ส่วนแบ่งในแบบเท่าเทียมอย่างที่ควร

อันนี้ก็น่าเห็นใจอยู่เหมือนกัน คือในแง่ของ จีนและพอล เขาก็คิดว่า คิส คือวงของพวกเขา ซึ่งทำเงินได้มาก สมาชิกคนอื่นเข้ามาภายหลัง มีสถานะเป็นเพียงแค่ลูกจ้างของพวกเขาเท่านั้น แต่วินนีมองว่า เขาเป็นมือกีตาร์ เป็นส่วนสำคัญของวงเช่นกัน เขาจึงควรจะได้ส่วนแบ่งที่เท่าเทียม ซึ่งเป็นสิ่งที่จีนและพอลไม่ยอมให้ใครมาแตะต้องขุมสมบัติของพวกเขาเด็ดขาด

“มันเป็นเรื่องของสัญญา ปัญหาทั้งหมดที่เกิดขึ้นคือสัญญา ผมแค่ขอให้ได้รับการปฏิบัติที่เป็นธรรม ไม่มีอะไรมากไปกว่านั้น ลิขสิทธิ์การเผยแพร่เป็นเหมือนการเป็นเจ้าของบ้าน การเป็นเจ้าของรถ ถ้าคุณไม่ได้เป็นเจ้าของก็หมายความว่าคุณเช่าซื้อหรือไม่คุณก็กำลังเช่าเขาอยู่ ลองคิดว่ามีคนนั่งรถคุณ และคุณกำลังขับรถไปที่ใดที่หนึ่ง แต่พอถึงจุดหนึ่งพวกเขาจะกลับมาพูดว่า ผมต้องการไล่คุณออก นี่เป็นเรื่องกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สิน เป็นเรื่องง่าย ๆ ไม่ใช่เรื่องยากกว่านั้น คนที่บอกว่าเรื่องกรรมสิทธิ์ไม่สำคัญมักเป็นคนที่ต้องการทรัพย์สินของคุณ” วินนีอธิบายมุมมองของเขาต่อสถานการณ์ในช่วงนั้น

ตอนทำอัลบั้ม ลิกอิตอัพ เขาก็ยังไม่ได้สัญญาอย่างที่เขาต้องการ แม้จะมีการประกาศอย่างเป็นทางการว่าเขาคือมือกีตาร์คนใหม่ของคิสที่เข้ามาแทนที่ เอซ เฟรห์ลี ได้อวดใบหน้าอันหล่อเหลาในปกอัลบั้ม ลิกอิตอัพ ในฐานะมือกีตาร์ของวง มีส่วนร่วมเขียนเพลงถึง 8 เพลงจาก 10 เพลง จีนและพอลต้องการให้วินนีเซ็นสัญญาในฐานะมือกีตาร์ แต่ไม่ได้สิทธิเท่าเทียมกับจีนและพอล ซึ่งเป็นสัญญาแบบเดียวกันกับที่ อีริก คารร์ และคนอื่น ๆ เซ็น

“ลิกอิตอัพ”โดยคิส

แต่ปัญหาส่วนตัวของเขาทำให้จีนและพอลเอือมระอามากขึ้นทุกที ในหนังสือ คิสแอนด์เมคอัป ของจีน ซิมมอนส์ เขียนว่าบรรยายว่าการทำงานร่วมกับวินนีเหมือนโดนทรมาน เพราะวินนีไม่ชอบให้ใครมาบอกว่าควรเล่นอะไรหรือเล่นอย่างไร และ พอล สแตนลี เขียนในหนังสือเฟซเดอะมิวสิก ว่าวินนีไม่รู้ว่าควรเล่นตอนไหน หรือเล่นเมื่อไหร่ หรือเล่นแค่ไหน ทำให้การทำงานออกมาลำบาก 

ตัวอย่างประกอบความเห็นของพอลก็คือการโซโลบนเวทีแบบไม่เกรงใจเพื่อนร่วมวง บางทีเพลงจบไปแล้วเขายังโซโลกีตาร์ต่ออีกหลายนาที พอลเล่าย้อนหลังว่ามันเป็นช่วงที่เมามันส์ที่สุดของการแสดง คือคนดูเดินออกไปเมากัน (เขาเล่นคำว่า high ที่หมายถึงจุดสูงสุดของการแสดง กับคำว่า get high คือออกไปเสพยา)

“เราตัดสินใจจะเปิดการแสดงในยุโรปโดยปราศจากการแต่งหน้า” จีน ซิมมอนส์เล่า “เราถามวินนี วินเซนต์ถ้าเขาอยากจะไปด้วยว่า ก่อนที่คุณจะมาเล่นกับเราคุณต้องเซ็นสัญญานี้ ไม่ใช่การเจรจาต่อรอง เป็นข้อเสนอของการจ้างงาน คุณต้องลงนามเพื่อวัตถุประสงค์ในการรับประกัน ถ้าคุณไม่เซ็นชื่อในสัญญา เราจะไม่พาคุณไปด้วย”

แต่สิ่งนั้นก็ไม่เกิดขึ้น และพอออกทัวร์ยุโรป เขาเรียกร้องส่วนแบ่งมากขึ้น จีนกับพอลโต้ตอบด้วยการไล่เขาออกจากวง! 

“เขาไม่เคยเซ็นสัญญากับคีส เขาเอาแต่ผลัดวันไปเรื่อบ ผมขอโทษ ผมเสียใจ ทัวร์ครั้งหน้าผมจะเซ็น แล้วเราก็ต้องออกทัวร์โดยไม่มีสัญญากับเขา และเขาก็เรียกร้องมากขึ้นและมากขึ้น จนในที่สุดเราไล่เขาออก” จีน ซิมมอนส์เล่า

แต่วินนีได้หัวเราะดัง ๆ ภายหลัง เมื่อทางวงหาคนมาแทนเขาไม่ทัน ทำให้ จีน ซิมมอนส์ และ พอล สแตนลี จำเป็นต้องกลับมางอนง้อขอความช่วยเหลือ และยอมจ่ายค่าแรงมากขึ้น เพราะไม่เช่นนั้นจำเป็นต้องเลื่อนตารางทัวร์ในอเมริกาซึ่งน่าจะเป็นผลเสียกับทางวงมากกว่า

เรื่องนี้สร้างการกระทบกระทั่งกันเสมอ กระทั่ง มกราคม ค.ศ. 1984 ที่แอลเอฟอรัม พอล สแตนลี เกิดทนไม่ได้ ตะโกนให้วินนีหยุดโซโล่เสียที แต่วินนี่ไม่ฟังยังเล่นต่อจนพอใจ ทั้งคู่เกือบจะชกกันหลังเวที แต่อีริก คารร์ และ จีน ซิมมอนส์ เข้ามาแยกทั้งคู่ออกไปก่อน พอล สแตนลี พยายามอดทนกับสิ่งที่เกิดขึ้น แต่ถัดมาในเดือนมีนาคม ที่คิวเบ็ก, แคนาดา ขณะใกล้จบการแสดง วินนีโซโล่แบบไม่ลืมหูลืมตานอกบททำให้พอลตัดสินใจว่า วินนีควรจะเป็นอดีตได้แล้ว

วินนีโซโลกีตาร์ที่ควิเบ็ก 1984

เรื่องโซโลกีตาร์ยาวเหยียดบนเวทีนั้น วินนีแก้ตัวในงานคิสเอ็กซ์โป ปีค.ศ. 2018 ว่า “ผมเป็นเด็กใหม่ ดังนั้นผมขอบคุณคำแนะนำที่พวกเขาให้ แต่มันเป็นช่วงเวลาของมือกีตาร์และนั่นคือสิ่งที่ผมอยากจะเป็น นั่นคือเวลาของผม แต่ในบริบทของความเป็นวงดนตรีนี่ผมต้องให้เครดิตพวกเขาเพราะพวกเขารู้เรื่องพวกนี้มากกว่าผม”

จีน ซิมมอนส์ กล่าวถึง วินนี ในปีค.ศ. 2001 ว่า “เขาน่าจะมีความสามารถมากที่สุดในบรรดาคนใหม่ที่เข้าร่วมวงจนถึงตอนนี้ ในความคิดของผม เขาเป็นคนที่เล่นกีตาร์ในแบบเอซได้ เป็นนักแต่งเพลงที่ดีและรอบด้านมากกว่าผม เป็นนักร้องที่ดี แต่เป็นคนที่คุยด้วยยากที่สุดที่ผมเคยพบมา เขาไร้จรรยาบรรณมาก”

อีริก คารร์ มือกลองวงคิส แสดงความเห็นในสถานีวิทยุดับเบิลยูซีดับเบิลยูพีเรดิโอเมื่อปีค.ศ. 1989 ว่า วินนีไม่ได้อยากเป็นสมาชิกวงคิส แต่เขาต้องการเปลี่ยนให้คิสเป็นวงของเขา เรื่องนี้วินนีก็ยอมรับ เขาให้สัมภาษณ์เคอแรงค์! ฉบับ 130 ว่า “ผมไม่ใช่คนประเภทที่จะโดนใครควบคุมทั้งที่ทำงานของตัวเอง ผมมันเด็กมีปัญหา โดยเฉพาะกับพวกเขา (หมายถึงวงคิส) เพราะผมต้องการทำทุกอย่างด้วยวิธีของผมเอง”

 หลังจากออกจากวงคิส วินนี วินเซนต์ ฟ้องเรียกส่วนแบ่งรายได้จากลิขสิทธิ์เพลงในอัลบั้ม ลิกอิตอัพ หลายครั้ง และยังมีการฟ้องที่ไม่เกี่ยวกับลิขสิทธิ์เพลง เช่นฟ้องคีสที่เอาภาพของเขาไปใช้ใน คิสโซโลจี 2 และฟ้องผู้ผลิตรายการ “จีน ซิมมอนส์ แฟมิลีจิวลส์” ด้วยข้อหาเดียวกัน รวมคดีทั้งหมดไม่ต่ำว่า 15 คดี เท่าที่จำได้ เขาแพ้คดีเกี่ยวกับลิขสิทธิ์ส่วนแบ่งรายได้ และบางครั้งเขาแพ้ต้องจ่ายค่าเสียเวลาและค่าทนายความให้วงคีสเป็นเงินหลายหมื่นดอลลาร์อยู่เหมือนกัน

Vinnie Vincent Invasion

หลังจากโดนไล่ออก วินนีออกไปท่องเที่ยวทั่วโลกเป็นปี และกลับมาเริ่มทำงานใหม่ในลอสแอนเจลิส โดยใช้วัตถุดิบที่เขาทำงานร่วมกับ เฮิร์ช การ์ดเนอร์ อดีตเพื่อนเร่วมวงวอริเออร์ วัตถุดิบเหล่านั้นเป็นเพลงเก่าที่เขาเคยแต่งเอาไว้สำหรับทำวงวอริเออร์ ใช้เวลาทำงานถึง 6 เดือน ถึงขึ้นไปนอนค้างบ้านเฮิร์ชก็มี ขอใช้สตูดิโอและขอแรงบันทึกเสียง

เฮิร์ชเล่าถึงการทำงานในช่วงเวลานั้นว่า “เรามักจะมองหานักร้องนำอยู่เสมอ เรื่องนี้ทำให้ผมผิดหวังมาก ผมบันทึกเสียงร้องของวินนีไว้ และเขาทำได้ยอดเยี่ยมมาก แต่เขาหมกมุ่นกับการหาคนที่ร้องเพลงแตะโน้ตซี ดี อี สูง ๆ ด้วยเสียงที่เป็นธรรมชาติ นั่นเป็นวิธีที่…ในความคิดของผม ในฐานะโปรดิวเซอร์ ผมว่าเพลงไม่ต้องการอะไรแบบนั้น เพลงที่ยอดเยี่ยมต้องการเพียงเสียงที่เปี่ยมด้วยความรักและศรัทธาเท่านั้น”

และท้ายสุด โครงการนี้กลับล้มไปง่าย ๆ โดยวินนียึดวัตถุดิบทั้งหลายที่ทำไว้เป็นของตัวเองแต่เพียงผู้เดียว เฮิร์ชเล่าว่า “วันหนึ่ง ผมมาถึงสตูดิโอแล้วไม่พบวินนีกับเทป ทุกอย่างหายไปหมด” ตอนนั้นเขายังไม่แน่ใจว่าเกิดอะไรขึ้น เลยรอสองหรือสามสัปดาห์ก่อนจะโทรติดต่อวินนี แต่วินนีเสนอเงินให้ 1,000 ดอลลาร์แลกกับทุกอย่าง ทำเอาเฮิร์ชเจ็บปวดและต้องต่อสู้ทางกฎหมายกับวินนีอีกหลายปี เพราะสิ่งที่ทำเอาไว้นั้นไปปรากฏอยู่ในอัลบั้มของ วินนี วินเซนต์ อินเวชัน

แกรี ชี ให้สัมภาษณ์ภายหลังถึงช่วงเวลานั้นว่า “เขาเป็นคนที่ร่วมงานด้วยยากมาก เขาถึงโดนไล่ออกจากวงคิส และนี่เป็นเหตุผลว่าทำไมเฮิร์ชถึงไม่ค่อยอยากพูดอะไรถึงเขามากนัก วินนีทำอะไรที่ไม่ค่อยดีกับเขาไว้หลายอย่างในช่วงนั้น”

วินนีได้เซ็นสัญญากับคริสซาริสเร็คคอร์ด 8 อัลบั้ม มูลค่า 4 ล้านดอลลาร์ และชักชวนดานา สตรัม มือเบสผู้กว้างขวางในถิ่นลอสแอนเจลิส กับ บ็อบบี ร็อก มือกลองฝีมือดีให้มาร่วมงานกัน สามคนซ้อมดนตรีด้วยกันและมองหานักร้องนำที่จะมาทำหน้าที่ในวง ซึ่งสุดท้ายวินนีเลือก โรเบิร์ด ไฟล์สชแมน อดีตนักร้องนำวงเจอร์นี (ช่วงสั้น ๆ ก่อน สตีฟ เพอรี จะเข้าวง)

“ครั้งแรกที่ผมเปิดประดูเข้าไปเจอเขายืนอยู่ใส่เสื้อยืด รองเท้าเทนนิส กางเกงยืนส์ ไม่แต่งหน้า เขาดูเป็นมิตร มีเสน่ห์ ผมเคยได้ยินเรื่องอัตตารุนแรงของมาบ้าง แต่เขาไม่เคยปฏิบัติแย่ ๆ กับผมเลย” โรเบิร์ต ไฟล์สชแมน รำลึกถึงวันแรกพบวินนีอย่างนั้น อย่างไรก็ตาม โรเบิร์ตก็ร่วมงานแค่บันทึกเสียง เพราะเขาออกจากวงหลังจากนั้นเนื่องจากไม่อยากเปลี่ยนภาพลักษณ์ให้เข้ากับแกลมเมทัล

Vinnie Vincent Invasion (ภาพโฆษณาปีค.ศ. 1986)

เมื่อโรเบิร์ตออกจากวงไป วินนีเลือก โกรัน เอ็ดมัน ชาวนอรเวย์มาร้องแทนพักหนึ่ง แต่พอบันทึกเพลงไปได้สักพัก เขาก็ไล่ออก (ต่อมาเอ็ดมัน โกรันไปร้องเพลงกับวง อิงเว มาล์มสทีน) และได้ มาร์ก สลอจห์เตอร์ มาแทน โดยภารกิจแรกไม่ใช่การบันทึกเสียงใหม่ เพราะเปลืองงบประมาณ แต่ให้มาร์กแสดงในมิวสิกวิดีโอในเพลง “บอยส์กอนนาร็อก” ทำท่าทำทางร้องเพลงโดยใช้เสียงร้องของโรเบิร์ต

“ บอยส์กอนนาร็อก”

วินนีตั้งใจจะบันทึกเสียงอัลบั้มแรกซ้ำใหม่ แต่ใครบางคนในบริษัทขอให้เขาหยุดทำงานเก่า แล้วสร้างสรรค์ผลงานใหม่แทนเพราะตอนนั้นเขาผลานเงินไป 2 ล้านดอลลาร์ครึ่งหนึ่งของมูลค่าตามสัญญาแล้วแต่ได้อัลบั้มมาเพียง 1 ชุดเท่านั้น

บางทีปัญหาของวินนีอาจจะเป็นอย่างพอลบอก วินนีไม่รู้ว่าควรเล่นตอนไหน หรือเล่นเมื่อไหร่ หรือเล่นแค่ไหน เขาแก้ไขงานเดิมซ้ำแล้วซ้ำอีกราวกับเป็นโรคย้ำคิดย้ำทำ บ็อบบี ร็อก เคยกล่าวว่า การทำงานอัลบั้มแรกกับวินนี วินเซนต์ อินเวชันเป็นการบันทึกเสียงที่ยากที่สุด ถึงขนาดต้องบันทึกเสียงใหม่ทั้งหมด ส่วนโรเบิร์ด เล่าว่า เขาใช้คันโยกในท่อนโซโลหนึ่ง แล้วเขาก็ทำมันซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนหลุดคีย์ เหมือนไล่งับหางตัวเองจนเป็นบ้า เขาหัวเสีย แล้วเขาก็พังกีตาร์

พวกเขาได้เล่นเป็นวงเปิดให้อลิส คูเปอร์และไอออนเมดเดนในเวทีระดับสนามกีฬา ออกทัวร์ของตัวเองตามคลับ และปัญหาเดิม ๆ ก็เริ่มต้นขึ้น จนสมาชิกที่เหลือจ้างผู้จัดการเพื่อจัดการเรื่องราวต่าง ๆ กลายเป็นว่าวินนีคิดว่าสมาชิกคนอื่นกำลังก่อกบฏ

แต่ก็ทำอัลบั้มที่สอง ออลซิสเต็มโก ตามออกมา แต่เป็นอัลบั้มที่วินนีไม่ชอบเอาเสียเลย โดยเขากล่าวถึงอัลบั้มนี้ไว้ว่า

“ผมรู้สึกแรงกล้าเกี่ยวกับมัน อัลบั้มที่สองไม่ควรเกิดขึ้น ร็อบควรอยู่กับวง เสียงของวงควรเหมือนจิมมี เพจกับโรเบิร์ต แพลนต์ มันคือร็อบกับผม อัลบั้มแรกมันร้อนแรงมาก มันมาจากวิสัยทัศน์ของผม โดยร็อบเป็นคนร้อง ทุกอย่างออกมาถูกที่ถูกทาง แต่อัลบั้มที่สองควรยกเลิก มันไม่ควรเกิดขึ้น ถ้าผมมีอำนาจพอผมจะทำแบบนั้น ผมจะกลับไปเปลี่ยนมัน หยุดมัน ทำมันใหม่ ให้ผมได้ร่วมงานกับคนที่ผมต้องการ คนที่ร่วมงานในช่วงนั้นไม่ควรจะร่วมงานในช่วงนั้นเลย แต่มันเป็นผลิตผลเพื่อการโฆษณา มันเหมือนสินค้า เน้นแต่ประชาสัมพันธ์และโฆษณา ผมรู้สึกดีกับบทเพลงมาก แต่เพลงออกมาไม่ใช่อัลบั้มแบบที่ผมตั้งใจทำ ผมไม่ได้วางรากฐานอัลบั้มไว้แบบนั้น ดังนั้นถ้าจะให้ผมพูดละก็ อัลบั้มแรก ใช่เลย อัลบั้มที่สอง ไม่ใช่ และนักร้อง [มาร์ก สลอจห์เตอร์] ก็ไม่ได้อย่างที่ผมต้องการ”

แต่บางที เขาอาจจะรู้สึกในแง่ลบเพราะมีปัญหากับมาร์กและดานา เพราะเข้ากันไม่ได้ การออกทัวร์มีปัญหาถึงขั้นว่า วินนีทำซาวด์เช็กคนเดียว โดยไม่ให้สมาชิกวงคนอื่นเข้ามายุ่ง

“เลิฟคิลส์”

แน่นอน หลังจากออกไม่นาน คริสซาลิสของยกเลิกสัญญากับวินนี และนำสัญญามาให้ดานาและมาร์ก สลอจห์เตอร์แทน นั่นคือต้นกำเนิดของวง สอลจห์เตอร์ (Slaughter)

ออกจากวงการดนตรี

หลังจาก วินนี วินเซนต์ อินเวชัน จบลง วินนีก็ไม่มีโปรเจ็กต์อื่นเป็นชิ้นเป็นอัน เขากลับไปหา จีน ซิมมอนส์ และขอโทษในสิ่งที่เคยทำลงไป และได้โอกาสเขียนเพลงร่วมกับวงคิส คือเพลง “อันโฮลี” “ฮาร์ตออฟโครม” และ “ไอจัสต์วอนนา” ร่วมในอัลบั้ม รีเวนจ์ ในปีค.ศ. 1992 ต่อมาวินนีได้เซ็นสัญญากับอินิกมาเร็คคอร์ด สำหรับทำอัลบั้มลำดับที่ 3 เขาเชิญโรเบิร์ต ไฟล์สชแมน อดีตนักร้องนำมาร้องและอังเดร ลาเบลล์ มาตีกลอง อังเดรเล่าว่า วินนีไม่เคยพอใจสิ่งที่เขาทำต้องทำใหม่ซ้าหลายครั้ง ใช้เวลาหมดไป 2 ปี เปลี่ยนสตูดิโอ 6 แห่ง และที่สำคัญ วินนีไม่ยอมให้เขาเอาเดโมออกนอกสตูดิโอด้วยซ้ำ 

และโปรเจ็กต์นั้นจบลงด้วยไม่มีอะไรเป็นชิ้นเป็นอันออกมา

วินนีย้ายจากลอสแอนเจลิสมาแนชวิลล์ช่วงปลางทศวรรษ 90 เขาไปปรากฏตัวตามคิสเอ็กซ์โป ขายลายเซ็น ถ่ายรูป ขายของทีระลึก ช่วงปีค.ศ. 1995 – 1996 แต่เขาเริ่มออกอาการหลงตัวเอง ห่วงความปลอดภัยว่าจะเป็นเหมือนจอห์น เลนนอน ที่โดนแฟนเพลงคลั่งสังหาร ถึงขนาดเรียกร้องหน่วยรักษาความปลอดภัยพิเศษติดอาวุธสำหรับคุ้มกันเขาในงานคิสเอ็กซ์โปรทำให้ผู้จัดงานเริ่มเอือมระอา

 เขาทำเงินได้จากงานคิสเอ็กโปประมาณ 2 หมื่นดอลลาร์ และใช้มันทำและทำอีพี 4 เพลง ยูโฟเรีย ออกมาโดยตั้งบริษัทเมทัลลูนาเร็คคอร์ด โฆษณาว่าอัลบั้มเต็มชื่อ กีตาร์มาเก็ดดอน จะตามมาในไม่ช้า ประมาณปีค.ศ. 1996 และโฆษณาขายสั่งจองล่วงหน้า 120 – 300 ดอลลาร์สำหรับกล่องบ็อกเซ็ท แต่จนถึงปัจจุบันคนที่สั่งจองก็ยังไม่ได้รับของ เขาไม่คืนเงินสั่งจองบ็อกเซ็ท แฟนเพลงบางคนฟ้องเรียกค่าเสียหาย ได้เพียงจดมหายตอบกลับว่าขออภัยที่ส่งช้า แต่เสนอขายปิ๊กกีตาร์ที่เขาเล่นช่วงทัวร์ครีเชอร์ออฟเดอะไนท์ ในราคาอันละ 1,000 ดอลลาร์ 

พอล สแตนลีกล่าวหาว่าเขาหากินกับแฟนเพลงคิส “วินนีขายกีตาร์ตัวหนึ่งให้แฟนเพลง แล้วบอกว่ามันเป็นกีตาร์ตัวโปรดของเขาทั้งที่เขาไม่เคยเล่นกีตาร์ตัวนั้น”

ดูเหมือนวินนีจะมีปัญหาเรื่องเงิน เขาไม่มีผลงานเต็มรูปแบบอีกเลยหลังจากวงวินนี วินเซนต์ อินเวชันแยกวงไป เขาหากินกับผู้ที่ยังนิยมฝีมือของเขา ปีค.ศ. 1997 เขาฟ้องอดีตเพื่อนร่วมวงคิสหลังครั้งโดยอ้างว่าทำสัญญาไม่เป็นธรรม ยกตัวอย่างเช่นให้ค่าจ้างเพียงสัปดาห์ละ 1,000 ดอลลาร์ และให้เขาอยู่ในโรงแรมที่เต็มไปด้วยพวกติดยากับโสเภณี แต่ทุกครั้งที่เขาฟ้องล้วนแพ้คดีทั้งสิ้น

วินนีแต่งงานกับ ไดแอน คีโร อดีตแฟนของเอซ เฟรห์ลีย์ และย้ายจากลอสแอนเจลิสไปใช้ชีวิตเงียบงัน ในเมืองเล็ก ๆ ชื่อ สไมร์นา รัฐเทนเนสซี อยู่ห่างจากแนชวิลล์ประมาณ 25 ไมล์  ไม่สุงสิงยุ่งเกี่ยวกับเพื่อนบ้าน ป้องกันตัวเองอยู่ในกำแพงหนา แทบไม่มีข่าวคราวของเขาออกมามากนัก 

จนกระทั่ง ปีค.ศ. 2011 วินนีถึงได้เป็นข่าวอีกครั้ง เมื่อ ไดแอนแจ้งตำรวจว่าโดนวินนีทำร้ายร่างกาย พร้อมหลักฐานทางกายภาพ ร่างกายฟกช้ำ มีเลือด เขาโดนจับนอนห้องขังหนึ่งคืน วันรุ่งขึ้นประกันตัวด้วยเงิน 10,000 ดอลลาร์ เขาเข้ารับการบำบัดความโกรธ และเมื่อไดแอนเสียชีวิตเดือนมกราคม 2014 ด้วยวัย 47 ปี เขาก็ย้ายที่อยู่และดูเหมือนจะใช้ชีวิตลึกลับ ไม่ค่อยมีใครรู้ชีวิตส่วนตัวของเขาเท่าไหร่ 

กลับคืนสู่วงการดนตรี

หลังจากหายหน้าไปจากวงการดนตรีนานร่วม 20 ปี วินนี วินเซนต์ ปรากฏตัวในงานแอตแลนตาคิสเอ็กซ์โป 2018 วันที่ 20 มกราคม ค.ศ. 2018 ซึ่งทำให้แฟนเพลงตกใจกับภาพลักษณ์ที่เปลี่ยนไปของเขาพอสมควร ทั้งร่างกายที่อ้วนฉุขึ้น รวมถึงมีภาพเขาเล่นดนตรีร่วมกับโฟร์บายเฟต (Four by Fate) สภาพเขาเหมือนตื่นเวที และไม่ได้เล่นโซโลกีตาร์เลย แม้ว่าเพลงที่เขาเล่นจะเป็นเพลงเบสิกพื้นฐานของวงคิสที่เขาเคยเล่นมาแล้วในทศวรรษ 1980 วินนียิ้มตลอดก็จริง แต่เหมือนเป็นการยิ้มเพื่อกลบเกลื่อนความกังวลอะไรบางอย่างมากกว่า

หลังจากเขาปรากฏตัวในแอตแลนตาคิสเอ็กซ์โปเมื่อเดือนมกราคม ค.ศ. 2018 ทุกอย่างทำท่าจะไปได้สวย คือกลับมาญาติดีกับสมาชิกวงคิส ไปเป็นแขกรับเชิญให้จีน ซิมมอนส์ในเดือนเมษายน ซึ่งเป็นการพบกันครั้งแรกในรอบสองทศวรรษเศษ จากนั้นก็ไปให้สัมภาษณ์เอ็ดดี ทรังก์ ดีเจร็อกชื่อดังซึ่งเป็นการให้สัมภาษณ์อย่างเป็นทางการในรายการระดับประเทศครั้งแรกในรอบสองทศวรรษกว่า ๆ เช่นกัน และเขาก็กำหนดจะทำคอนเสิร์ต “กลับคืนวงการ” ซึ่งเป็นการเล่นคอนเสิร์ตใหญ่ครั้งแรกในรอบสามทศวรรษ ในวันที่ 7 และ 8 ธันวาคม ค.ศ. 2018 ที่เกรซแลนด์ ในเมมฟิส เทนเนสซี แล้วประกาศเลื่อนเป็นวันที่ 8 และ 9 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2019 แทน

แต่การณ์กลับไม่เป็นอย่างที่คิด โรเบิร์ต ไฟล์สแมน นักร้องนำประกาศถอนตัวในเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 2018 โดยให้เหตุผลว่าทางผู้จัดคอนเสิร์ตไม่เคารพนับถือเขาเท่าที่ควร ทั้งในโปสเตอร์ที่วางชื่อเขาตัวเล็กในฐานะแขกรับเชิญ ในขณะที่ คาร์ไมน์ อะพีซี และ โทนี แฟรงกลิน ได้ชื่อตัวโตพร้อมรูป

อันนี้ ว่ากันตามจริง ชื่อเสียงของโรเบิร์ตเทียบกับสองชื่อที่กล่าวมาก็คนละชั้นจริง ๆ

 นอกจากนี้เขายังคิดว่าการทำงานของผู้จัดคอนเสิร์ต ดีเร็ก คริสโตเฟอร์ (ซึ่งเป็นผู้จัดงานแอตแลนตาคิสเอ็กซ์โป) ไม่มีความเป็นมืออาชีพเท่าที่ควร อย่างเช่น การเล่นคอนเสิร์ตที่เกรซแลนด์มีปัญหาเรื่องสถานที่และอื่น ๆ ทางโรเบิร์ตบอกว่าดีเร็กรู้ล่วงหน้ามานานแล้ว แต่ไม่บอกทางวงจนกระทั่งใกล้วันคอนเสิร์ตถึงจะบอกทางวงว่ามีปัญหา รวมทั้งปัญหาอื่น ๆ เช่น การเงินที่จ่ายให้น้อยนิด เขาเลยถอนตัวดีกว่า

ถ้าวินนีตัดสินยกเลิกคอนเสิร์ตในตอนที่โรเบิร์ตถอนตัว อาจจะดีกว่า แต่เขาเดินหน้าต่อ โดยมี จิม เครน นักร้องนำคนใหม่จากคำแนะนำของ คาร์ไมน์ อะพีซี มือกลองซึ่งเคยร่วมงานกับจิมมาก่อน และภายหลังก็เปิดเผยว่าวินนียอมรับจิมเป็นนักร้องนำโดยที่ยังไม่ได้พบปะหน้าตาหรือว่าทดสอบเสียงร้องกันเป็นส่วนตัวมาก่อน แต่เขาเลือกจะเดินหน้าต่อ…

สุดท้าย วินนี วินเซนต์เลื่อนคอนเสิร์ต “กลับคืนวงการ” ที่จะจัดในวันที่ 8 และ 9 กุมภาพันธ์ไปอย่างไม่มีกำหนด

ยกเลิกนั่นเอง…

ฝ่ายวินนีออกแถลงการณ์ จับใจความสั้น ๆ ได้ว่า “มีเรื่องบางอย่างที่ไม่สามารถตกลงกับผู้จัดได้ เขาจึงตัดสินใจไม่เล่น” แล้วก็มีข่าวว่ามีการซ้อมและอะไรหลายอย่างออกมาไม่ดีนัก

เรื่องนี้ว่าไม่แปลกใจเลย เพราะมันมีปัญหามาตั้งแต่ต้นแล้ว ดีเร็ก คริสโตเฟอร์ ติดต่อวินนีให้เล่นคอนเสิร์ตอคูสติกเล็ก ๆ มีโรเบิร์ตเป็นนักร้องนำเท่านั้น แต่ต่อมากลายเป็นคอนเสิร์ตเล่นดนตรีครบวง และดีเร็กเป็นคนติดต่อคาร์ไมน์ อะพีซี และ โทนี แฟรงกลิน มาเล่นด้วย จากที่คาร์ไมน์ให้สัมภาษณ์กับเอ็ดดี ทรังก์ เขาบอกว่าได้รับการติดต่อจากดีเร็กหลายครั้งก่อนจะที่วินนีจะติดต่อเขา

คาร์ไมน์เคยร่วมงานกับวินนีมาก่อนในช่วงปีค.ศ. 1980 ก่อนที่วินนีจะร่วมงานกับวงคิส ตอนนั้นคาร์ไมน์ ซึ่งตีกลองให้ร็อด สจ๊วตอยู่ อยากทำอัลบั้มเดี่ยว เขาเลยรวบรวมนักดนตรีและคนแต่งเพลงมาทำอัลบั้ม หนึ่งในนั้นคือ วินนี คูซาโน หรือวินนี วินเซนต์ ซึ่งในขณะนั้นยังเป็นมือกีตาร์รับจ้างและคนแต่งเพลงในลอสแอนเจลิส แต่ว่าในที่สุดก็ไม่ได้ร่วมงานกันแต่อย่างใดเพราะ “มีปัญหาส่วนตัวกันนิดหน่อย” และคาร์ไมน์ก็เคยเตือนจิน ซิมมอนส์และพอล สแตนลี ตอนที่วินนีร่วมงานกับคิสเรื่องนี้อยู่เหมือนกัน

ตอนที่วินนีกลับมาเปิดตัวอีกรอบ จีน ซิมมอนส์ มือเบสของจูบอสุรกายเคยบอกว่า วินนีเป็นศัตรูตัวร้ายของวินนีเอง และเขาสงสัยจริง ๆ ว่าวินนีจะกลับมาในแวดวงดนตรีอาชีพได้สำเร็จจริงหรือ? ซึ่ง ณ วันนี้น่าจะบอกได้คร่าว ๆ ว่าวินนีน่าจะยังมีปัญหาอยู่ และจากพฤติกรรมที่ผ่านมาสามทศวรรษเป็นเครื่องพิสูจน์ได้เป็นอย่างดีว่าเขาไม่เคยเปลี่ยน

แต่ ในฐานะที่ FR!DAY ! AM !N ROCK เป็นแฟนเพลงของวินนีมานาน จะพยายามหาข้อแก้ตัวให้ 

อย่างที่รู้กัน วินนีเป็นพวกหมกมุ่นกันตัวเองและพยายามทำทุกอย่างให้ออกมาสมบูรณ์แบบ เหมือนอย่างที่ มาร์ก สลอจห์เตอร์ ซึ่งเคยร่วมงานในวินนี วินเซนต์ อินเวชัน เคยบอกว่า “เขาจะคิดว่า มันจะต้องดีกว่านี้ มันจะต้องดีกว่านี้ แบบนั้นงานศิลปะจะไม่มีวันเสร็จ มันจะต้องหยุดนะจุดใดจุดหนึ่ง คุณจะต้องหาจุดที่เหมาะสมสักจุดเพื่อหยุดแต่งเติมมัน จะได้ทำมันเสร็จ แต่วินนีไม่เคยหาจุดนั้นพบ”

และการกลับมาครั้งนี้ วินนีน่าจะพอรู้ตัวอยู่แล้วว่าเขาไม่ได้เฉียบคมเหมือนอย่างที่เคยเป็นในช่วงทศวรรษ 1980 การที่เขาร้างห่างหายจากวงการดนตรีไปมากกว่าสองทศวรรษ ทำให้ความเฉียบคมของการเล่นกีตาร์ ความมั่นใจในการเล่นต่อหน้าคนอื่นหายไปพอสมควร

วินนีจัดคอนเสิร์ตสปีดแจมที่แนชวิลล์ แทนคอนเสิร์ต COMEBACK ที่ยกเลิกไป ประกาศว่าจำกัดบัตรเพียงแค่ 60 ใบ ไม่ได้เขียนผิด 60 ใบ แต่ว่าทุกที่ล้วนเป็นวีไอพีคิดค่าบัตรสูงลิบถึง 300 ดอลลาร์ คิดที่อัตราแลกเปลี่ยนดอลลาร์ละ 32 บาทก็ราว 9,600 บาท บัตรนี้จะว่าแพงก็แพง จะว่าไม่แพงก็ไม่แพง ถ้านึกว่าแฟนเพลงวินนีก็ล้วนเป็นผู้ใหญ่มีงานการทำแล้ว และยังเป็นคอนเสิร์ตแบบเอ็กซ์คลูซีฟ มีพบปะขอลายเซ็นอะไรกันตามประสาแฟนคลับ

แต่…บัตรขายไปได้ราว 10 ใบเท่านั้น งานนี้เลยโดนยกเลิกไปเงียบ ๆ

เดาได้ไม่ยากว่าการเลื่อน/ยกเลิกคอนเสิร์ตมาหลายครั้ง จนแฟนเพลงไม่เชื่อมั่นหมดศรัทธา ถ้าเป็นแบบนี้อนาคตของวินนีในวงการดนตรีน่าจะไม่สดใส โอกาสที่เขาจะไปปรากฏตัวบนเวที เอนด์ออฟเดอะโรด ของวงคิสก็แทบไม่มี

เขาก็เป็นมือกีตาร์ฝีมือดี ทำเพลงดีที่ชอบมากคนหนึ่งในยุค 80 น่าเสียดายที่กลายมาเป็นแบบนี้ ก็ได้แต่เอาใจช่วย

2 thoughts on “Vinnie Vincent

Leave a Reply

Scroll to top
%d bloggers like this: